(0)
เหรียญหลวงพ่อกัสสปมุณี วัดปิปผลิวนาราม จ.ระยอง ปี2518 ( รุ่นแรก ) เนื้อทองแดง อธิฐานจิตลากรถไฟ ประสบการณ์ต่างๆมากมาย รับประกันตามกฎครับ








รายงานผลโหวต

จากรูปพระแท้ 0% [0]
จากรูปพระแท้แต่ข้อมูลไม่ถูกต้อง     0% [0]
จากรูปพระเก๊ 0% [0]
พระดูยากจากรูป 0% [0]

จำนวน โหวต



ชื่อพระเครื่องเหรียญหลวงพ่อกัสสปมุณี วัดปิปผลิวนาราม จ.ระยอง ปี2518 ( รุ่นแรก ) เนื้อทองแดง อธิฐานจิตลากรถไฟ ประสบการณ์ต่างๆมากมาย รับประกันตามกฎครับ
รายละเอียดหลวงพ่อกัสสปมุนี วัดปิปผลิวนาราม เหรียญรูปเหมือนไตรมาส รุ่นแรก เนื้อทองแดง 2518 ระยอง พ.ต.อ.ประวิทย์ อินทุลักษณ์ เป็นผู้ขออนุญาตสร้างเหรียญขึ้นเพื่อเป็นที่ระลึกแก่ผู้ร่วมงานสร้างพระอุโบสถบนยอดเขาในวาระนั้น *เนื่องจากท่านผู้พันเคยถูกหลวงพ่อเตือนในวันหนึ่งของต้นเดือนกันยายน พ.ศ.2516 ว่า"ให้จัดเตรียมกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจขึ้นจำนวนหนึ่งและฝึกฝนไว้ เพราะบ้านเมืองจะมีเหตุร้ายแรงในเร็ววันนี้" *เมือ่ถึงวันที่ 6 ตุลาคม พ.ศ.2516 กลุ่มนักศึกษาก็พากันประท้วงและรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ จนถึงวันที่ 14 ตุลาคม พ.ศ.2516 ท่านผู้พันจึงได้นำกำลังที่ตระเตรียมไว้โดยการบอกล่วงหน้าของหลวงพ่อเข้าปฏิบัติภารกิจ และตัวผู้พันเองพร้อมทั้งผู้ใต้บังคับบัญชาก็ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์นี้เลย จากเรื่องนี้ทำให้ท่านผู้พันมีความเลื่อมใสในหลวงพ่อเป็นอย่างมาก จึงขออนุญาตทำเหรียญรุ่นแรกขึ้น และหลวงพ่อก็อนุญาตอย่างเป็นทางการ *ท่านประวิทย์ได้นำปลอกกระสุนปืนเนื้อทองเหลืองไปให้หลวงพ่ออธิษฐานจิตจำนวนถึง 10,000 ปลอกเศษ หลวงพ่อทำการเสกอยู่นานเป็นอาทิตย์ก่อนจะมอบให้นำไปหลอมเป็นชนวนทำเหรียญ *ท่านประวิทย์เล่าว่าปกติโรงหล่อจะไม่รับหลอมปลอกกระสุนปืน เพราะเกรงว่าจะมีดินปืนตกค้างอยู่ในกระสุนและเป็นเหตุให้เบ้าหลอมระเบิด แต่มารดาเจ้าของโรงหล่อได้ตั้งจิตอธิษฐานถึงหลวงพ่อกัสสปมุนี ขอบารมีท่านให้งานลุล่วงโดยปลอดภัย ปรากฏว่าไม่มีเหตุการณ์ร้ายแรงใด ๆ เลย *เมื่อได้ชนวนทองเหลืองมาแล้วก็นำไปปั๊มเป็นเหรียญทว่าเนื้อชนวนที่จำกัดจึงทำเหรียญทองเหลืองได้เพียง 1,000 เหรียญเศษ ท่านผู้พันเลยสั่งให้ช่างปั๊มเหรียญทองแดงขึ้นอีก 10,000 เหรียญ และทำการตอกโค้ดกันปลอมไว้ทุกองค์ *ผู้การประวิทย์นำเหรียญไปถวายหลวงพ่อที่วัดในปลายเดือนพฤษภาคม 2518 ท่านก็เริ่มอธิษฐานจิตปลุกเสกทุกวันไปจวบจนเข้าพรรษาตลอด 3 เดือน
เหรียญรุ่นแรกหลวงพ่อกัสสปมุณี วัดปิปผลิวนาราม อ.บ้านค่าย จ.ระยอง เป็นเหรียญรูปโล่ ตราตำรวจ ด้านหลังตอกโค๊ด กลางบน ในพื้นที่มีประสบการณ์มาก และ ตามหนังสือพระเก่าลองหาอ่านดูครับ ท่านเป็นพระสายปฏิบัติที่มีอภิญญาสูงมากครับลองศึกษาประวัติท่านดูครับ " วัดปิปผลิวนาราม ต.หนองบัว อ.บ้านค่าย จ.ระยอง เป็นวัดที่หลวงพ่อกัสสปมุนี ได้ก่อตั้งขึ้น อาตมาได้มาปฏิบัติธรรมกับหลวงพ่อตั้งแต่ ปี พ.ศ. 2519 โดยคำแนะนำของศาสตราจารย์ระพี สาคริก ซึ่งท่านได้มาสร้างหอพระไว้ที่วัดฯ โดยปกติ หลวงพ่อกัสสปมุนี จะเข้านิโรธสมาบัติปีละครั้ง ช่วงออกพรรษา โดยจะเข้านิโรธสมาบัติเป็นเวลา 7 วัน ในวันที่ออกนิโรธสมาบัติ จะมีประชาชนมารอใส่บาตรตั้งแต่ตี 5 อาตมามาปฏิบัติกับหลวงพ่อช่วงนั้น ท่านจะให้นั่งภาวนา ครั้งละ 2 ชั่วโมง โดยหลวงพ่อคอยนำสมาธิให้ตลอด 2 ชั่วโมง ในช่วงนั้น หลวงพ่อจะเน้นให้มีความรู้สึกตัวทั่วพร้อม เจริญสติและสมาธิให้ขนานกัน(แบบไม่แนบชิดกัน) ไปพร้อมๆกัน โดยท่านอธิบายว่า โลกียฌานนั้นสติและสมาธิจะขนานกันไปแบบแนบชิดกัน ส่วนโลกุตตรฌานนั้น สติและสมาธิจะขนานกันไปแบบถอยห่างจากกัน การที่สติขนานกับสมาธิแบบถอยห่างจากกัน สติจะเห็นความเป็นไปอาการต่างๆขององค์ฌานและสามารถพิจารณา ในองค์ฌานได้ กล่าวคือ พอถึงฌาน 4 ท่านพิจารณาปฏิจจสมุปบาทต่อเลย ทั้งโดยอนุโลมและปฏิโลม กำลังของฌาน 4 ของท่าน คือ ไปไหนมาไหนด้วยกายหยาบ เวลาท่านไปป่าหิมพานต์หรือสามเหลี่ยมเบอร์มูด้า ท่านก็เล่าให้ฟังว่า ท่านไปด้วยกายหยาบ ส่วนปฐมฌานนั้น ก็มีกำลังมหาศาล เหมือนพายุที่สามารถดับไฟป่าได้ ท่านเคยเล่าให้ลูกศิษย์ฟังว่า หากท่านใดปฏิบัติได้ถึงปฐมฌาน สามารถเกาะชายจีวรหลวงพ่อเหาะไปทั้งกายหยาบได้เลย" " หลวงพ่อกัสสป มรณภาพวันที่ 11 สังหาคม 2531 ด้วยสิริมายุ 78 ปีเศษ ปัจจุบัน สรีระของหลวงพ่อได้ตั้งไว้ที่วัดให้ลูกศิษย์ได้กราบไหว้เคารพบูชา โดยท่านกล่าวว่า เมื่อถึงเวลาอันควร สรีระของท่านจะลุกไหม้ขึ้นเองด้วยอำนาจเตโชธาตุ
ราคาเปิดประมูล100 บาท
ราคาปัจจุบัน2,400 บาท (!!! ปิดประมูลแล้ว !!!)
เพิ่มขึ้นครั้งละ50 บาท
วันเปิดประมูล - 17 ม.ค. 2559 - 09:50:40 น.
วันปิดประมูล - 20 ม.ค. 2559 - 11:48:37 น. (ปิดประมูลแล้ว)
ผู้ตั้งประมูลsornsin (316)(8)


(0)
ข้อมูลเพิ่มเติม 1 - 17 ม.ค. 2559 - 09:52:25 น.



รูปถ่ายนั่งนิโรธสมาบัติรูปนี้นะท่านเองยังบอกด้วยตัว
ท่านเองว่า "รูปนี้เก่งกว่าเหรียญเสียอีก"


ข้อมูลเพิ่มเติม 2 - 17 ม.ค. 2559 - 09:54:41 น.



หลวง พ่อกัสสปะมุนี วัดปิปผลิวนาราม อ.บ้านค่าย จ.ระยอง พระที่หลวงปู่ดู่นับถือคุณธรรม

-ท่านเคย เกิดเป็นฤาษี สมัยพุทธกาล จึงมีฤทธิของเก่าติดตามมามาก แม้ชาตินี้จะบำเพ็ญไม่นาน ก็สำเร็จธรรมขั้นที่น่าพอใจ

ชาติ ปัจจุบัน ท่านเป็นข้าราชการชั้นสูง เกือบได้เป็นรองอธิบดี กระทรวงพาณิชย์ แต่ขอลาออกก่อนเกษียน

เพื่อไปบวช เนื่องจากเกิดมรณานุสติ เห็นคนที่รู้จักเสียชีวิตอย่างกะทันหัน

-ท่านสอนกรรมฐานแนวอานาปาน สติ แบบกำหนดรู้ลมหายใจอย่างเดียวล้วนๆ โดยไม่ต้องบริกรรมคำภาวนาใดๆทั้งสิ้น (ผมเข้าใจเอาเองว่า ท่านสำเร็จธรรมด้วยอานาปานสติ จึงมุ่งเน้นสอนศิษย์ของท่านในแนวนี้จริงๆ ว่าให้ทำแบบที่ท่านสอน คือ กำหนดลมหายใจล้วนๆ โดยไม่ต้องใช้คำบริกรรมภาวนา เช่น คำสอนทีว่า "ดับความครุ่นคิดในใจทั้งปวงแล้วกำหนดรู้ลมหายใจเท่านั้น")

-ท่านมีประสบการณ์ใช้อรูปฌานขั้นอา สานัญจายตนะประลองฤทธิกับฤาษีในอินเดีย

?

(ผมขออธิบายแทรกตรงนี้ว่า หลวงพ่อกัสสปะมุนีท่านสำเร็จธรรมขั้นแสดงฤทธิ์ได้ เรียกว่า อิทธิปาฏิหาริย์ (ปาฏิหาริย์คือฤทธิ์, แสดงฤทธิ์ได้เป็นอัศจรรย์)

-ระหว่างปฏิบัติ ธรรมที่อินเดีย ท่านใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลัก ในการสนทนากับผู้อื่น ควบคู่กับภาษาฮินดี หลวงพ่อกัสสปะมุนี ท่านเก่งภาษาอังกฤษมาก เพราะเคยเรียนโรงเรียนที่มีบาทหลวงสอนมาก่อน

-ท่านบำเพ็ญสมาธิขั้น นิโรธสมาบัติที่อินเดีย

(ผมขออธิบายแทรกตรงนี้ว่า มีพระอนาคามี และ พระอรหันต์เท่านั้น ที่บำเพ็ญสมาธิคล่องแคล่วถึงขั้นอรูปฌาน จึงจะสามารถเข้านิโรธสมาบัติได้)

-ท่านเคยใช้อำนาจฌานสมาบัติ ช่วยลากตู้รถไฟทีอินเดีย
1) บันทึกเก่า ระบุว่า เมื่อวันที่ 11 มิถุนายน พ.ศ.2524 มีศิษย์ท่านหนึ่งกราบเรียนถามหลวงพ่อกัสสปมุนีว่า ตอนที่

หลวงพ่อใช้พลังจิต"ลากรถไฟขึ้นเขาที่อินเดีย"นั้น หลวงพ่อทำอย่างไร.

หลวง พ่อกัสสปมุนีตอบว่า

"ใช้การรวมพลังเข้ามาเป็นหนึ่ง และออกเดินนำหน้าทันที ไม่เหลียวหลัง ไม่ใช่อิทธิวิธี หากเป็นการใช้

"อาโลกสิน"(แสงสว่าง,ความว่าง) ดึงรถไฟขึ้นไป..!!?!"

วันเสาร์ที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๐๗ คณะของหลวงพ่อกัสสป ฉันอาหารเช้าแล้ว ได้เวลา ๙.๐๐ น. จึงพาพวกอุบาสกและ

อุบาสิกาออกเดินทาง ไปยังสถานีเนาก้า เพื่อไปยังสวนป่าลุมพินีวันในแคว้นเนปาลอันเป็นสถานที่พระบรมศาสดาทรงประสูติ ถึงสถานีเนาก้าเวลา ๑๑.๐๐ น. แต่เจ้ากรรมแท้ๆ ... ที่พนักงานรถไฟแขกอินเดียมันมักง่าย ตัดรถตู้คณะของหลวงพ่อกัสสปมุนีออกปล่อยทิ้งไว้ อยู่ห่างจากตัวสถานีเกือบสามร้อยเมตร ตรงที่รถตู้ถูกตัดออกนี้เป็นที่ลาดต่ำกว่าที่ตั้งสถานี และห่างจากที่รถบัสจอดเกือบครึ่งกิโลเมตร

ในคณะแสวงบุญของหลวงพ่อ มีอุบาสิกาอยู่ในวัยชราหลายคนจะต้องเดินไกล ทั้งตัวรถตู้ก็สูง บันไดก็ยิ่งลอยสูงขึ้นไปด้วย เพราะรถถูกตัดทิ้งไว้ในที่ลาดต่ำ แม้แต่ผู้ชายที่แข็งแรงอย่างนายเอื้อ บัวสรวง ก็ยังต้องเกร็งข้อโหนตัวลอยขึ้นไปยิ่งเป็นพระ เป็นผู้หญิงยิ่งทุลักทุเลใหญ่ ทำให้นายสุวรรณ เจามหาสุข ผู้อำนวยการเดินทางในครั้งนี้ และนายเอื้อ บัวสรวงโมโหมาก ปัญหาจึงมีอยู่ว่า จะทำอย่างไรจึงจะให้ตู้รถแล่นขึ้นไปจอดบนชานชาลาเหนือสถานีได้ ใน ที่สุดปรึกษาตกลงกันได้ว่า ให้คณะแสวงบุญที่ขึ้นไปก่อนลงมาจากรถเพื่อให้รถเบาขึ้น แล้วจ้างพวกแขกสองสามคน และเด็กแถวนั้นให้ช่วยกันดันรถ แต่เมื่อทำดูแล้วรถไม่ได้ขยับเขยื้อนเลย เพราะตู้รถไฟใหญ่กว่าตู้รถไฟในบ้านเมืองเรามาก มีน้ำหนักเป็นตันๆ และจะต้องดันให้เคลื่อนขึ้นที่สูงเสียด้วย มันต้องใช้ช้างสารฉุดถึงจะเขยื้อนขึ้นไปได้ ตอนนี้นายเอื้อ บัวสรวงเห็นหมดหนทางที่จะพึ่งแรงคน จึงคิดจะพึ่งแรงบารมีของพระเสียแล้ว จึงได้หันมาอาราธนาขอร้อง อาจารย์วิริยังค์ (ท่านเจ้าคุณญาณวิริยาจารย์) ช่วยให้รถเคลื่อนด้วยอานุภาพที่ท่านมีอยู่ เพราะมองไม่เห็นใครที่จะช่วยได้ ก็ต้องพึ่งพระกันบ้าง

ท่านพระอาจารย์วิริยังค์ ได้เข้าไปยืนข้างตู้รถไฟภาวนาอยู่สักครู่ก็ทำท่าดัน แล้วบอกให้ทุกๆ คนช่วยกันดันรถ แต่ดันเท่าไหร่ๆ รถก็ไม่มีทีท่าจะเขยื้อน นายเอื้อ จึงได้หันมาอาราธนาท่านเจ้าคุณเจ้าคณะจังหวัดยะลา ท่านเจ้าคุณเจ้าคณะอำเภอยะลาและหลวงพ่อทิมวัดช่างไห้ ขอให้ช่วยแสดงอานุภาพทำให้ตู้รถไฟเคลื่อนที่ แต่ท่านทั้งสามองค์ก็ตอบตรงๆ ว่าไม่ได้ฝึกมาทางนี้ คือไม่ได้ฝึกทางอภิญญา สุดท้ายนายเอื้อ บัวสรวงหมดหนทางอับจนปัญญา จึงได้ขอร้องให้ หลวงพ่อกัสสปมุนี ช่วยด้วย “ยัง เหลือแต่หลวงพ่อกัสสป องค์เดียวเท่านั้น ผมเชื่อว่าคงจะไม่สิ้นหวังเสียทั้งหมด” นายเอื้อ บัวสรวง พูดค่อนข้างเสียงดังเปิดเผย พลางพนมมือนอบน้อม หลวงพ่อกัสสป จึงเอ่ยว่า

“ทำไม มาเจาะจงอาตมา ก็ท่านเหล่านั้นยังรับไม่ไหว แล้วอาตมาภาพจะรับได้ยังไง”

นาย เอื้อ บังสรวง ได้ยืนกรานว่า

“ถึงอย่างนั้น ก็ขอให้หลวงพ่อเห็นแก่ญาติโยมผู้หญิง และคนแก่ เถอะครับ ที่จะต้องโหนตัวขึ้นรถ”ว่าแล้วก็ไหว้อีก

หลวงพ่อกัสสปเห็นนายเอื้อมีความมั่นใจเช่นนั้น จึงจำเป็นต้องช่วยสงเคราะห์ จึงบอกเบาๆ ว่า

“โยมบอกพวกนั้นให้ดันรถพร้อมๆ กัน พอเห็นอาตมาเดินขึ้นหน้ารถก็ดันเลย”

นายเอื้อก็รับคำเตรียมอยู่ข้าง ตู้รถไฟ จากนั้นหลวงพ่อกัสสป ก็เดินขึ้นไปทางริมรั้วสถานี ครั้นพอถึงหน้ารถตู้ นายเอื้อก็ร้องบอกให้พวกนั้นดันรถ เสียงรถเคลื่อนดังครืด แล่นตามหลังหลวงพ่อกัสสปมาได้หน่อยหนึ่ง หลวงพ่อกัสสปจึงยื่นไม้เท้าให้นายเอื้อจับปลายไว้ นายเอื้อเอื้อมมือขวามาคว้าปลายไม้เท้าไว้ ส่วนมือซ้ายจับอยู่ที่ราวบันไดรถ หลวงพ่อจับหัวไม้เท้าไว้ข้างแล้วจูงนำหน้า เท่านั้นเอง ตู้รถไฟอันใหญ่โตหนักอึ้ง ก็แล่นปราดๆ ขึ้นไปตามรางสู่สถานีอย่างง่ายดายน่ามหัศจรรย์ สร้างความตะลึงงันให้แก่ญาติโยมอุบาสกอุบาสิกาทั้งหลายที่ได้เห็นเหตุการณ์ ดังกล่าวต่อหน้าต่อตา สุดที่จะกล่าวพรรณาเป็นอักษรภาษาใดๆได้...!!!!!!

นับ ว่าหลวงพ่อกัสสป ได้ฝังรากความมั่นใจให้แก่นายเอื้อ และญาติโยมในที่นั้นว่า อานุภาพของพุทธศาสนานั้น เป็นของมีจริง ที่พระสาวกของพระพุทธองค์ สามารถทำให้เกิดขึ้นได้ เมื่อถึงคราวจำเป็น หรือวาระอันสมควรจะพึงแสดง!

2) ในบทความ “พลังจิตของหลวงพ่อกัสสปมุนี” ในหนังสือ ปกิณกสารธรรม อนุสรณ์ ๑๐ ปี แห่งการมรณภาพของหลวงพ่อกัสสปมุนี ๑๑ สิงหาคม ๒๕๔๑ นายเอื้อ บัวสรวง ได้เล่าถึงเหตุการณ์นี้ว่า

“หลวงพ่อได้ชูไม้เท้า ยาวราว ๑.๕๐ เมตร เห็นจะได้ ยกชูไปในอากาศ แล้วก็ส่งหัวไม้เท้ามาให้ผม และหลวงพ่อตั้งท่าเดินหน้านำไป ผมก็คว้าไม้เท้าที่ท่านส่งมาให้ทันที ทันใดนั้นผมรู้สึกราวกับว่าถูกไฟฟ้าดูด หรือเหมือนผมไปจับสายไฟฟ้าแบตเตอรี่รถยนต์ แล้วรถไฟก็เคลื่อนตามหลวงพ่อกัสสปมุนีไป”

มีบันทึกเก่า ระบุว่า เมื่อวันที่ ๑๑ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๒๔ มีศิษย์ท่านหนึ่งกราบเรียนถามหลวงพ่อกัสสปมุนีว่า ตอนที่หลวงพ่อใช้พลังจิต

"ลากรถไฟขึ้นเขาที่อินเดีย" นั้น หลวงพ่อทำอย่างไร? ?หลวงพ่อกัสสปมุนี ตอบว่า

"ใช้การรวมพลังเข้ามาเป็นหนึ่ง และออกเดินนำหน้าทันที ไม่เหลียวหลัง ไม่ใช่อิทธิวิธี หากเป็นการใช้ ?"อาโลกสิน" ดึงรถไฟขึ้นไป"

-ท่าน เคยสั่งให้ลูกศิษย์อาราธนาท่านก่อนทำงานสำคัญ แล้วท่านจะช่วยให้สำเร็จ

แม้องค์ท่านไม่อยู่ต่อหน้าศิษย์ก็ตาม (เท่ากับบอกเป็นนัยๆว่า หลวงพ่อสำเร็จด้านหูทิพย์ หรือทิพโสต)

ครั้งหนึ่ง หลวงพ่อกัสสปมุนีเคยสั่งศิษย์ใกล้ชิดไว้ว่า ??"เวลาจะทำอะไร ให้อาราธนาหลวงพ่อก่อนทุกครั้ง แล้วจะสำเร็จ" พอดีมีคนซึ่งมาใหม่คน หนึ่ง บังเอิญได้ยินคำสั่งของหลวงพ่อดังว่า จึงได้ถามกลับไปด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยจะเชื่อถือสักเท่าไรว่า "ถ้า อาราธนาแล้ว ผมอยู่ตั้งไกล แล้วหลวงพ่อจะได้ยินหรือ..??"

เมื่อได้ ฟัง หลวงพ่อกัสสปมุนีก็ย้อนตูมกลับมาทีเดียวว่า

"ถ้าหลวง พ่อไม่ได้ยินแล้ว จะให้เรียกทำไม??!?"

-ท่านเคยเจริญ ภาวนาที่ภูกระดึง แล้วพบพวกกายทิพย์ที่นำท่านไปดูสมบัติเก่าของท่าน สมัยเป็นจักรพรรดิ์จีน

-ท่านสร้างวัดปิปผลิวนาราม อ.บ้านค่าย จ.ระยอง โดยมีพวกกายทิพย์ช่วยเหลือ

-ท่านเคยเกิดเป็นจักรพร รดิ์จีนองค์หนึ่ง ผู้ช่วยเผยแพร่ศาสนาพุทธในจีน

-ท่านเป็นสหธรรมิก กับหลวงปู่ครูบาชัยวงศา วัดพระพุทธบาทห้วยต้ม ลำพูน

-เมื่อมรณภาพ แล้ว ร่างกายไม่เน่าไม่เปื่อย ยังเก็บไว้ที่วัดปิปผลิวนาราม


 
ราคาปัจจุบัน :     2,400 บาท
เพิ่มขึ้นครั้งละ :     50 บาท

!!! ปิดประมูลแล้ว !!!

ผู้ชนะประมูล    หนึ่งห้วยโป่ง (559)

 

Copyright ©G-PRA.COM