รายละเอียด | ประวัติพระสีวลีเถระ
พระสีวลีเถระ เป็นพระมหาเถระที่มีประวัติค่อนข้างแปลกไปกว่าพระมหาเถระองค์อื่น ๆ ท่านต้องอยู่ในครรภ์พระมารดาอยู่ถึง ๗ ปี กับอีก ๗ วัน ด้วยอำนาจบุรพกรรมตามมาส่งผล และ ( พระพุทธองค์ทรงยกย่องให้เป็นตำแหน่งเอตทัคคะในบรรดาภิกษุผู้เลิศด้วยลาภและเลิศด้วยยศทั้งหลาย ) ในศาสนาของพระองค์ แม้พระมารดาคือ พระนางสุปฺปวาสา ผู้เป็นราชบุตรีของเจ้าโกลิยะ ก็ทรงเป็นเอตทัคคะผู้กว่าพระสาวิกาทั้งหลายผู้ถวายสิ่งของอันประณีต การที่พระพุทธองค์ได้ทรงยกย่องท่านในตำแหน่งเอตทัคคะดังกล่าว ก็เป็นไปตามความปรารถนาของท่านมาแต่ในอดีต
ความปรารถนาในอดีตในกัปที่แสน แต่กัปนี้ ในกาลของพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงพระนามว่า ปทุมุตตระ ในครั้งนั้น ท่านได้เกิดเป็นกษัตริย์ในพระนครหงสวดี ได้ยินพระพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตั้งสาวกของพระองค์ชื่อสุทัสสนะ ไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะผู้มีลาภมาก ดังนั้น ทรงปรารถนาในตำแหน่งนั้นบ้าง จึงได้นิมนต์ พระชินสีห์พร้อมทั้งพระสาวก ให้เสวยและฉันถึง ๗ วัน ครั้น ถวายมหาทานแล้วก็ได้ตั้งความปรารถนาว่า ขอให้ท่านเป็นเอตทัคคะผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลาย ผู้มีลาภในอนาคตกาล พระปทุมุตตระบรมศาสดา จึงทรงพยากรณ์ว่า... ความปรารถนาของท่านนี้จะสำเร็จในกัปที่แสนแต่กัปนี้ไป ท่านจะบังเกิดในนาม( สีวลี )ได้บวชในสำนักของพระพุทธเจ้า ทรงพระนามว่าโคตมะ ซึ่งสมภพในวงศ์ของพระโอกกากราช ดังนี้แล้ว เสด็จหลีกไป
ต่อจากนั้น ท่านก็กระทำกุศลจนตลอดชีวิต ครั้นสิ้นชีวิตแล้วก็ท่องเที่ยวไปกำเนิดในเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ครั้นในกัปที่ ๙๑ แต่ภัทรกัปนี้ ในกาลของพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า วิปัสสี ท่านได้ถือปฏิสนธิในหมู่บ้านแห่งหนึ่งไม่ไกลพระนครพันธุมดี ในสมัยนั้น ท่านเป็นคนโปรดปรานของสกุลหนึ่งในพระนครและเป็นคนที่หมั่นขยันขวนขวายในกิจการงาน สมัยหนึ่งหลังจากที่พระบรมศาสดาเสด็จเที่ยวจาริกไปในชนบท กลับมาสู่พระนครพันธุมดี ครั้งนั้น พระเจ้าพันธุมะซึ่งเป็นพุทธบิดาได้ทรงเตรียมอาคันตุกทาน เพื่อภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข ทรงปรารถนาจะทำมหาทานแข่งกับชาวเมือง ในวันใดที่พระราชาเป็นผู้ถวายทาน เหล่ามหาชนก็จะสังเกตดู และในวันรุ่งขึ้นก็จะเตรียมทานให้ยิ่งกว่านั้น และในวันถัดไป พระราชาก็จะถวายให้ยิ่งขึ้นไปอีก จนกระทั่งถึงวันที่ ๖ ซึ่งเป็นวันของชาวเมือง ชาวเมืองเหล่านั้นทั้งหมดได้จัดเตรียมสิ่งของไว้ทุกสิ่ง โดยตั้งใจจะไม่ให้มีสิ่งใดที่ขาดแม้สักสิ่งเดียว จึงได้ตรวจดูทานที่ตนได้เตรียมไว้ก็ไม่เห็นน้ำผึ้งสด มีเพียงน้ำผึ้งที่เคี่ยวแล้ว ชนเหล่านั้นจึงให้คนถือเอาทรัพย์คนละ ๑ พันกหาปนะแล้วส่งไปเฝ้ายังประตูพระนครทั้ง ๔ เพื่อขอซื้อจากผู้ที่มาจากชนบทนอกพระนคร ในวันนั้นเอง ท่านเดินทางเข้ายังพระนครด้วยปรารถนาจะเยี่ยมนายบ้าน ในระหว่างทางท่านเห็นรวงผึ้งที่ปราศจากตัวอ่อน ขนาดเท่างอนไถ จึงไล่ตัวผึ้งให้หนีไป แล้วตัดกิ่งไม้ถือรวงผึ้งด้วยตั้งใจว่าจะนำไปให้แก่นายบ้าน ฝ่ายผู้ที่ชาวเมืองมอบเงินไปเพื่อหาซื้อน้ำผึ้ง พบท่านถือรวงผึ้งสดเข้ามาจึงขอซื้อในราคาหนึ่งกหาปนะท่านเกิดความคิดว่า ธรรมดารวงผึ้งนี้ย่อมไม่ถึงค่าน้อยกว่าหนึ่งกหาปนะมาก แต่บุรุษนี้ให้ทรัพย์กหาปณะหนึ่ง เห็นจะมีเหตุเบื้องหลังอยู่ จึงตอบปฏิเสธไป บุรุษนั้นจึงขึ้นราคาให้เป็นสองกหาปนะ ท่านก็ยังปฏิเสธอีก บุรุษนั้นก็ขึ้นราคาไปเรื่อย ๆ จนถึงพันกหาปนะ ท่านได้พิจารณาเห็นเป็นเรื่องผิดปกติมากที่ขอซื้อรวงผึ้งสดด้วยราคาถึงพันกหาปนะ จึงได้สอบถามถึงเหตุผล บุรุษผู้นั้นจึงให้เหตุผลว่า พวกชาวพระนครได้ตระเตรียมมหาทาน เพื่อถวายพระวิปัสสีสัมมาสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้มีสมณะ ๖ ล้าน ๘ แสนเป็นบริวาร ในมหาทานนั้นยัง ไม่มีน้ำผึ้งดิบอย่างเดียวเท่านั้น เพราะฉะนั้น เขาจึงขอซื้อ ในราคาเช่นนั้น ท่านเห็นเป็นโอกาสที่จะได้ทำบุญอันยิ่งใหญ่ จึงขอมีส่วนร่วมในมหาทานนั้น บุรุษนั้นไปบอกเนื้อความแก่ชาวเมือง. ชาวเมืองทราบในศรัทธาของเขาจึงอนุโมทนา ท่านจึงได้เอากหาปณะที่ตนเก็บไว้เพื่อเสบียงเดินทางจากบ้านไปซื้อเครื่องเทศ ๕ อย่างแล้ว ทำให้ป่น นำเอาน้ำส้มมาจากนมส้มแล้ว คั้นรังผึ้งลงในนั้น ปรุงด้วยจุณเครื่องเทศ ๕ อย่างแล้ว ใส่ลงในบัวตระเตรียมสิ่งนั้นเรียบร้อยแล้ว ถือไปนั่งในที่ไม่ไกลพระทศพล เมื่อมหาชนเป็นอันมากนำเอาสักการะไป เขามองดูวาระที่จะถึงแก่ตนในลำดับ รู้ช่องทางแล้วจึงเข้าเฝ้าพระศาสดา กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ สักการะอันยากไร้นี้เป็นของข้าพระองค์ ขอพระองค์โปรดอาศัยความอนุเคราะห์ข้าพระองค์ รับสักการะนี้เถิด พระศาสดาทรงอนุเคราะห์เขา ทรงรับสักการะนั้นด้วยบาตรศิลา อันท้าวมหาราชทั้ง ๔ ถวายแล้ว ได้ทรงอธิษฐานให้ไทยธรรมที่ถวายเพียงพอแก่ภิกษุ ๖,๘๐๐,๐๐๐ รูป ด้วยอานุภาพแห่งพระพุทธเจ้า.น้ำผึ้งนั้นก็มีเพียงพอแก่พระสาวกทั้งสิ้น
ครั้นแล้วท่านถวายอภิวาทพระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้กระทำภัตกิจ เสร็จแล้วยืนอยู่ ณ ส่วนข้างหนึ่ง กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ ด้วยผลแห่งกรรมนี้ ขอข้าพระองค์ พึงเป็นผู้ถึงความเป็นผู้เลิศด้วยความเป็นผู้มีลาภ ในภพที่เกิดแล้ว ๆ ดังนี้ พระศาสดาตรัสว่า ดูก่อนกุลบุตร ความปรารถนาของท่านจงสำเร็จอย่างนั้น ดังนี้แล้ว ทรงกระทำภัตตานุโมทนาแก่เขาและชาวเมืองแล้วเสด็จหลีกไป.
ส่วนบุรพกรรมที่นำไปสู่อเวจีและต้องอยู่ในครรภ์พระมารดา ๗ ปี ๗ วัน
เมื่อท่านได้สิ้นอายุในสมัยนั้นแล้ว ท่านก็ได้ไปบังเกิดในเทวโลก ท่องเที่ยวอยู่สิ้นกาลนาน ต่อมาในสมัยหนึ่งท่านได้จุติจากเทวโลก บังเกิดเป็นราชโอรสแห่งพระเจ้ากาสี (อรรถกถาบางแห่งว่า พระเจ้าพรหมทัต) ผู้ครองกรุงพาราณสี ต่อมาพระเจ้าโกศลทรงกรีธากองพลใหญ่มายึดกรุงพาราณสี ทรงปลงพระชนม์พระเจ้ากาสีและได้สถาปนา พระอัครมเหสีของพระราชานั้นให้เป็นอัครมเหสีของพระองค์ ฝ่ายพระราชโอรสของพระเจ้าพาราณสี ในเวลาที่พระบิดาถูกปลงพระชนม์ ได้ทรงหนีออกทางประตูระบายน้ำ รวบรวมญาติมิตรและพวกพ้องของพระองค์ไว้เป็นอันเดียวกัน รวมกำลังโดยลำดับแล้วเสด็จมายังกรุงพาราณสี ตั้งค่ายใหญ่ไว้ในที่ไม่ไกล ทรงส่งพระราชสาสน์ถึงพระราชา
องค์นั้นว่า... จะคืนราชสมบัติหรือจะรบพระมารดาได้สดับสาสน์ของพระราชกุมารแล้ว จึงส่งพระราชสาสน์ลับแนะนำไปว่า จงอย่ามีการต่อสู้ จงตัดขาดการสัญจรทั่วทุกทิศ โดยการล้อมกรุงพาราณสีไว้ พวกคนในกรุงก็จะพากันลำบากเพราะหมด ไม้ น้ำและอาหาร และจะจับพระราชามาถวายเอง พระราชกุมารได้สดับสาสน์ของพระมารดาแล้ว
จึงล้อมประตูใหญ่ทั้ง ๔ ด้านไว้ ๗ ปี แต่การณ์ก็มิได้เป็นอย่างที่ทรงดำริ เนื่องจากพวกคนในกรุงพากันออกทางประตูเล็ก นำเอาไม้และน้ำเป็นต้น มาทำกิจทุกอย่าง. ครั้นพระมารดาของพระราชกุมารทรงสดับเรื่องนั้นแล้ว จึงส่งพระราชสาสน์ลับถึงพระโอรส ตำหนิพระโอรสว่า ลูกเราโง่เขลาไม่รู้อุบาย จงปิดประตูน้อยล้อมกรุงไว้ พระราชกุมารทรงสดับพระราชสาสน์ของพระมารดา จึงได้ทรงกระทำอย่างนั้นถึง ๗ วัน ชาวพระนครเมื่อออกไปข้างนอกไม่ได้ วันที่ ๗ จึงได้เอาพระเศียรของพระราชานั้นไปมอบแต่พระราชกุมาร พระราชกุมารได้เสด็จเข้ากรุงยึดราชสมบัติ
ท่านได้กระทำกรรมนี้แล้ว ในกาลที่สุดแห่งอายุ ไปบังเกิดในอเวจี หมกไหม้อยู่ในนรกตราบเท่ามหาปฐพีนี้หนาขึ้นได้ประมาณโยชน์หนึ่ง
เพราะผลกรรมที่ล้อมพระนครไว้ถึง ๗ ปีในครั้งนั้น บัดนี้พระองค์จึงอยู่ในโลหิตกุมภี กล่าวคือพระครรภ์ของมารดา ๗ วัน แต่เพราะล้อมกรุงไว้ถึง ๗ วันโดยเด็ดขาด จึงถึงความเป็นผู้หลงครรภ์ถึง๗ วัน ส่วนในอรรถกถาชาดกท่านกล่าวว่า เพราะผลกรรมที่ล้อมกรุงยึดไว้ถึง ๗ วัน พระองค์จึงอยู่ในโลหิตกุมภีถึง ๗ ปีแล้วถึงความเป็นผู้หลงครรภ์ถึง ๗ วัน ก็พระองค์เป็นผู้เลิศด้วยลาภเพราะอานุภาพที่ถวายมหาทาน แล้วตั้งความปรารถนาที่บาทมูลของพระปทุมุตตรสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า ขอเป็นผู้เลิศด้วยลาภ และที่ถวายน้ำอ้อยและนมส้มมีค่า ๑,๐๐๐กหาปณะพร้อมชาวเมือง แล้ว ได้ตั้งความปรารถนาในกาลแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่าวิปัสสี ฝ่ายพระนางสุปปวาสา อุ้มครรภ์อยู่ถึง๗ ปี หลงครรภ์อยู่ถึง ๗ วัน เพราะที่ส่งสาสน์ไปว่า พ่อจงล้อมพระนครยึดไว้ พระมารดาและบุตรเหล่านั้น ได้เสวยทุกข์เช่นนี้ อันสมควรแก่กรรมของตน ด้วยประการฉะนี้
กำเนิดในพุทธกาล
ครั้นพ้นจากนรกอเวจีแล้ว ก็เที่ยวเกิดไปในเทวดาและมนุษย์ทั้งหลายจนถึงสมัยพระพุทธเจ้าของเรานี้ จึงได้ถือปฏิสนธิในครรภ์ของ พระนางสุปปวาสา ราชบุตรีของ เจ้าโกลิยะ กษัตริย์พระนครโกลิยะ ซึ่งทรงอภิเษกกับเจ้าศากยวงศ์พระองค์หนึ่ง พระนางนั้นพระบรมศาสดาได้ทรงสถาปนาพระนางไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะเป็นเลิศกว่า พวกอุบาสิกาผู้ถวายของมีรสประณีต และได้ทรงปฏิบัติธรรมจนบรรลุโสดาบันปัตติผล ด้วยกุศลกรรมแห่งการที่ท่านเป็นผู้เลิศด้วยลาภเพราะอานุภาพที่ถวายมหาทาน แล้วตั้งความปรารถนา ในสมัยแห่งองค์พระปทุมุตตรสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า ขอเป็นผู้เลิศด้วยลาภ และอานิสงส์ที่ถวายน้ำอ้อยและนมส้มมีค่า ๑,๐๐๐กหาปณะพร้อมชาวเมือง แล้วได้ตั้งความปรารถนาในกาลแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่าวิปัสสี นับแต่วันที่ท่านถือปฏิสนธิ ก็มีคนถือเอาเครื่องบรรณาการมาให้พระนางสุปปวาสา วันละร้อยเล่มเกวียน ทั้งในเวลาเย็นและในเวลาเช้า ครั้งนั้น คนทั้งหลายด้วยความปรารถนาจะลองบุญนั้น จึงให้นางเอามือจับกระเช้าพืช.พืชแต่ละเมล็ด ผลิตผลออกมา เป็นพืชตั้งร้อยกำ พันกำ พืชที่หว่านลงไปในที่นาแต่ละกรีส (หน่วยวัดที่นาในสมัยพุทธกาล) ก็เกิดผลประมาณ ๕๐ เล่มเกวียนบ้าง ๖๐ เล่มเกวียนบ้าง แม้ในเวลาขนข้าวใส่ยุ้ง คนทั้งหลายก็ให้นางเอามือจับประตูยุ้ง ด้วยบุญของราชธิดาเมื่อมีคนมารับของไป ของที่พร่องไปนั้นก็กลับเต็มเหมือนเดิม เมื่อคนทั้งหลายพูดว่า บุญของราชธิดา แล้วให้ของแก่ใคร ๆ จากภาชนภัตรที่เต็มบริบูรณ์ ภัตรย่อมไม่สิ้นไป จนกว่าจะยกของพ้นจากที่ตั้ง ด้วยผลกรรมของพระนาง ที่ได้ส่งสาส์นลับไปแนะนำพระราชโอรส ร่วมกับวิบากกรรมของพระโอรสในอดีตที่ได้ล้อมกรุงพาราณสีไว้เป็นเวลาถึง ๗ ปี ทำให้เวลาล่วงไปถึง ๗ ปี.ก็ยังไม่มีพระประสูติกาล
ครั้นเมื่อครบกำหนด ๗ ปีแล้ว ด้วยวิบากกรรมร่วมกันของพระนาง กับ พระโอรส ที่ได้ปิดล้อมประตูเล็กของกรุงพาราณสีไว้เป็นเวลา ๗ วัน ทำให้ชาวเมืองไม่สามารถออกจากเมืองมาหาอาหารและสิ่งที่จำเป็นในการดำรงชีวิต ได้รับความลำบากมาก ทำให้พระนางเสวยทุกข์หนักตลอด ๗ วัน พระนางปรารภกับพระสวามีปรารถนาจะถวายทานก่อนที่จะตาย จึงส่งพระสวามีไปเฝ้าพระศาสดาเพื่อไปกราบทูลเรื่องนี้ แล้วนิมนต์พระบรมศาสดา และถ้าพระบรมศาสดาตรัสคำใด ขอให้ตั้งใจจดจำคำนั้นให้ดีแล้วกลับมาบอกพระนาง พระสวามีจึงเดินทางไปแล้วกราบทูลข่าวแด่พระพุทธองค์ พระบรมศาสดาทรงตรัสว่า พระนางสุปปวาสาโกลิยธิดาจงมี ความสุข จงมีความสบาย ไม่มีโรค จงคลอดบุตรที่หาโรคมิได้เถิด พระสวามีได้ยินดังนั้นจึงถวายบังคมพระศาสดา ทรงมุ่งหน้าเสด็จกลับพระราชนิเวศน์
ในเวลาเมื่อพระบรมสุคตตรัสเสร็จ พระกุมารก็คลอดจากพระครรภ์ของพระนางสุปปวาสาอย่างสะดวก เหล่าพระญาติและบริวารที่นั่งล้อมอยู่เริ่มหัวเราะ ทั้งที่หน้านองด้วยน้ำตา มหาชนยินดีแล้ว ร่าเริงแล้ว ได้ไปกราบทูลข่าวที่น่ายินดีแด่พระสวามีที่กำลังเดินทางกลับ พระราชาทรงเห็นอาการของชนเหล่านั้นทรงดำริว่า พระดำรัสที่พระทศพล ตรัสเห็นจะเป็นผลแล้ว พระองค์จึงกราบทูลข่าวของพระทศพลนั้นแด่พระราชธิดา พระราชธิดาตรัสให้พระสวามีไปนิมนต์พระทศพล ตลอด ๗ วัน พระสวามีทรงกระทำ ดังนั้นและได้มีการถวายทานแด่พระภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประธานตลอด ๗ วัน การประสูติของทารก ได้ดับจิตที่เร่าร้อนของพระประยูรญาติทั้งหมด เพราะฉะนั้น พระประยูรญาติจึงเฉลิมพระนามของกุมารนั้นว่า สีวลีทารก
พระสีวลีบวชเมื่อเกิดได้ ๗ วัน
ตั้งแต่เวลาที่ได้เกิดมาแล้ว ทารกนั้นได้เป็นผู้แข็งแรง อดทนได้ในการงานทั้งปวง เพราะค่าที่อยู่ในครรภ์มานานถึง ๗ ปี ครั้นถึงวันที่ ๗ พระนางสุปปวาสาตกแต่ง พระสีวลีกุมารผู้โอรส ถวายบังคมพระศาสดาและพระภิกษุสงฆ์ เมื่อพระกุมารถูกนำเข้าไปสักการะพระสารีบุตรเถระเจ้านั้น พระเถระเจ้าได้กระทำปฏิสันถารกับเธอว่า สีวลี เธอยังจะพอทนได้หรือ? สีวลีกุมาร ได้ตรัสตอบพระเถระเจ้าว่า ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ กระผมจะมีความสุขที่ไหนได้เล่า กระผมนั้นต้องอยู่ในโลหกุมภีถึง ๗ ปี พระเถระได้กล่าวกะสีวลีทารกนั้นอย่างนี้ว่า ก็ถ้าเธอได้รับความทุกข์ถึงขนาดนั้นแล้ว บวชเสียไม่สมควรหรือ สีวลีตอบว่าถ้าบวชได้ก็จะบวช พระนางสุปปวาสาเห็นทารกนั้นพูดอยู่กับพระเถระ ก็คิดว่าบุตรของเราพูดอะไรหนอกับพระธรรมเสนาบดี จึงเข้าไปหาพระเถระถามว่า บุตรของดิฉันพูดอะไรกับพระคุณเจ้า เจ้าคะ พระเถระกล่าวว่า บุตรของท่านพูดถึงความทุกข์ที่อยู่ในครรภ์ที่ตนได้รับ แล้วกล่าวว่า ถ้าท่านอนุญาต ก็จะบวช พระนางสุปปาวาสาตรัสว่า ดีละเจ้าข้า โปรดให้เขาบรรพชาเถิด พระเถระนำทารกนั้นไปวิหาร ให้ ตจปัญจกกัมมัฎฐาน (กรรมฐาน 5 กอง คือ เกศา โลมา นขา ทันตา ตโจ) และได้กล่าวว่า สีวลี เราไม่จำต้องให้โอวาทดอก เธอจงพิจารณาทุกข์ ที่เธอเสวยมาถึง ๗ ปีนั่นแหละ
ในขณะที่โกนผมปอยแรก พระสีวลีก็บรรลุโสดาปัตติผล
และในขณะโกนปอยที่ ๒ ก็บรรลุสกทาคามิผล
และในขณะโกนผมปอยที่ ๓ ก็บรรลุอนาคามิผล
และก็ได้บรรลุพระอรหัตผลพร้อมกันกับที่โกนผมหมด
ส่วนอาจารย์บางพวก กล่าวถึงการบรรลุพระอรหัตของพระเถระนี้ไว้ดังนี้ว่า เมื่อพระธรรมเสนาบดีสารีบุตร ให้โอวาทโดยนัยดังกล่าวแล้วข้างต้น เมื่อสีวลีกุมารกล่าวว่า กระผมจักรู้กิจกรรมที่กระผมสามารถจักกระทำได้ (ด้วยตนเอง) ดังนี้ แล้วจึงบำเพ็ญวิปัสสนากรรมฐาน เห็นกุฏิหลังหนึ่งว่าง (สงบสงัด) จึงเข้าไปสู่กุฏินั้นในวันนั้นแหละ ระลึกถึงทุกข์ที่ตนเสวยแล้วในท้องมารดาตลอด ๗ ปี แล้วพิจารณาทุกข์นั้น ในอดีตและอนาคต โดยทำนองนั้นแหละอยู่ ภพทั้ง ๓ ก็ปรากฏว่า เป็นเสมือนไฟติดทั่วแล้ว สีวลีสามเณรหยั่งลงสู่วิปัสสนาวิถี เพราะญาณถึงความแก่รอบ ทำอาสวะแม้ทั้งปวงให้สิ้นไป ตามลำดับมรรค บรรลุพระอรหัตแล้ว ในขณะนั้นเอง ส่วนพระเถระก็เป็นผู้แตกฉานในปฏิสัมภิทา ได้อภิญญา ๖
พระสีวลีทดลองบุญ
ในเวลาต่อมา พระบรมศาสดาได้เสด็จไปยังพระนาครสาวัตถี พระสีวลีเถระถวายอภิวาทพระบรมศาสดาแล้ว
กราบทูลว่า
"ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์จักทดลองบุญของข้าพระองค์ ขอพระองค์จงมอบภิกษุ ๕๐๐ รูปแก่ข้าพระองค์ "
พระศาสดาตรัสสั่งว่า
"จงรับไปเถิด สีวลี."
ท่านพาภิกษุ ๕๐๐ รูป เดินทางบ่ายหน้าไปสู่หิมวันตประเทศ เดินทางผ่านดง เทวดาที่สิงอยู่ที่ต้นไทร ที่ท่านเห็นเป็นครั้งแรก ได้ถวายทานตลอด ๗ วัน เทวดาทั้งหลายได้ถวายทานทุก ๆ ๗ วัน ในสถานที่ทั่ว ๆ ไป ที่ท่านเห็นต่างกรรม ต่างวาระ กันดังนี้ คือ
ท่านเห็นต้นไทรเป็นครั้งแรก
เห็นภูเขาชื่อว่าปัณฑวะเป็นครั้งที่ ๒
เห็นแม่น้ำอจิรวดี เป็นครั้งที่ ๓
เห็นแม่น้ำวรสาครเป็นครั้งที่ ๔
เห็นภูเขาหิมวันต์เป็นครั้งที่ ๕
ถึงป่าฉัททันต์ เป็นครั้งที่ ๖
ถึงภูเขาคันธมาทน์เป็นครั้งที่ ๗
และพบพระเรวตะ เป็นครั้งที่ ๘.
ประชาชนทั้งหลาย ได้ถวายทานในที่ทุกแห่งตลอด ๗ วันเท่านั้น ก็ในบรรดา ๗ วัน นาคทัตตเทวราช ที่ภูเขาคันธมาทน์ ได้ถวายบิณฑบาตชนิดน้ำนม (ขีรบิณฑบาต) สลับวันกับ ถวายบิณฑบาตชนิดเนยใส (สัปปิบิณฑบาต) วันเว้นวัน ลำดับนั้นภิกษุสงฆ์จึงถามท่านเทวราชว่า ของที่ท่านนำมาถวายนั้นเกิดขึ้นได้อย่าไร ในเมื่อ แม่โคนมที่เขารีดนมถวายแด่เทวราชนี้ก็มิได้ปรากฏ การบีบทำน้ำนมส้มก็มิได้ปรากฏ เนาคทัตตเทวราชตอบว่า นี้เป็นอานิสงส์แห่งการถวายสลากภัตรน้ำนมในกาลแห่งพระกัสสปทศพล.
ในกาลต่อมา พระศาสดาทรง เอาเหตุแห่งการที่พระขทิรวนิยเถระจัดการต้อนรับ ให้เป็นอัตถุปบัติ (เหตุเกิดแห่งเรื่อง) ( ในการที่ทรงแต่งตั้งพระสีวลีเถระไว้ในตำแหน่งแห่งภิกษุผู้เลิศ ในบรรดาภิกษุผู้เลิศด้วยลาภ และเลิศด้วยยศทั้งหลาย ) ในศาสนาของพระองค์ ในเรื่องนี้ มีเหตุเกิดขึ้นอย่างนี้
เหตุเกิดแห่งเรื่องที่ทรงแต่งตั้งพระสีวลีเถระไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะ ในบรรดาภิกษุผู้เลิศด้วยลาภ และเลิศด้วยยศทั้งหลาย ในศาสนาของพระองค์
ในสมัยหนึ่ง พระขทิรวนิยเรวตเถระ ซึ่งเป็นน้องชายของพระสารีบุตร ได้หนีการแต่งงานที่บิดามารดาจัดการให้ มาขอบวชในสำนักพระภิกษุ ซึ่งมีภิกษุอยู่ประมาณ ๓๐ รูป เหล่าพระภิกษุสอบถามดู ทราบว่าเป็นน้องชายของพระสารีบุตร ที่ท่านได้เคยแจ้งไว้ก่อนว่า ถ้าน้องชายมาขอบวชก็อนุญาตให้บวชได้ จึงได้ทำการบวชให้แล้วส่งข่าวมายังท่านพระสารีบุตร ครั้งนั้น เมื่อพระสารีบุตรทราบข่าวดังนั้น จึงกราบทูลพระศาสดาเพื่อขอไปเยี่ยม พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงทราบว่าพระเรวตะเริ่มทำความเพียรเจริญวิปัสสนา จึงทรงห้ามพระสารีบุตรถึง ๒ ครั้ง ในครั้งที่ ๓ เมื่อพระสารีบุตรทูลอ้อนวอนอีก ทรงทราบว่า พระเรวตะบรรลุพระอรหัตแล้วจึงทรงอนุญาตและตรัสว่า จะทรงไปด้วยพร้อมเหล่าพระสาวกอื่น ดังนั้น พระศาสดาพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่เป็นบริวาร ก็ได้เสด็จออกไปด้วยพระประสงค์ว่าจะไปเยี่ยมพระเรวตะ ครั้นเดินทางมาถึง ณ ที่แห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นหนทาง ๒ แพร่ง
พระอานนเถระกราบทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า
" ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ตรงนี้มีหนทาง ๒ แพร่ง ภิกษุสงฆ์จะไปทางไหนพระเจ้าข้า "
พระศาสดาตรัสถามว่า
"อานนท์หนทางไหน เป็นหนทางตรง "
พระอานนท์กราบทูลว่า
" ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญหนทางตรงมีระยะประมาณ ๓๐ โยชน์ แต่เป็นหนทางที่มีอมนุษย์ ส่วนหนทางอ้อมมีระยะทาง ๖๐ โยชน์ เป็นหนทางสะดวกปลอดภัย มีภิกษาดีหาง่าย."
พระศาสดาตรัสว่า
" อานนท์ สีวลีได้มาพร้อมกับพวกเรามิใช่หรือ "
พระอานนท์กราบทูลว่า
" ใช่ พระสีวลีมาแล้วพระเจ้าข้า "
พระศาสดาตรัสว่า
"ถ้าอย่างนั้นพระสงฆ์จงไปตามเส้นทางตรงนั้นแหละ เราจักได้ทดลองบุญของพระสีวลี."
พระศาสดามีพระภิกษุสงฆ์เป็นบริวาร เสด็จขึ้นสู่เส้นทาง ๓๐ โยชน์ เพื่อจะทรงทดลองบุญของพระสีวลีเถระ.จำเดิมแต่ที่ได้เสด็จไปตามหนทาง หมู่เทวดาได้เนรมิตพระนครในที่ทุกๆ โยชน์ ช่วยกันจัดแจงพระวิหารเพื่อเป็นที่ประทับและที่อยู่แด่ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุขพวกเทวบุตร ได้ถือเอาข้าวยาคูและของเคี้ยวเป็นต้น ไปเที่ยวถามอยู่ว่า พระผู้เป็นเจ้าสีวลีไปไหน ดังนี้แล้ว จึงไปหาพระเถระ พระเถระจึงให้นำเอาสักการะและสัมมมานะเหล่านั้นไปถวายพระศาสดา พระศาสดาพร้อมทั้งบริวารเสวยบุญของพระสีวลีเถระผู้เดียว ได้เสด็จไปตลอดทางกันดารประมาณ ๓๐ โยชน์
ฝ่ายพระเรวตเถระทราบการเสด็จมาของพระศาสดา จึงนิรมิต พระคันธกุฎีเพื่อพระผู้มีพระภาคเจ้า นิรมิตเรือนยอด ๕๐๐ ที่จงกรม ๕๐๐ และที่พักกลางคืนและที่พักกลางวัน ๕๐๐ พระศาสดาประทับอยู่ใน สำนักของเรวตะเถระนั้นสิ้นกาลประมาณเดือนหนึ่งแล แม้ประทับอยู่ ในที่นั้น ก็เสวยบุญของพระสีวลีเถระนั่นเอง แม้พระศาสดาทรงพาภิกษุสงฆ์ไป เสวยบุญของพระสีวลีเถระ ตลอดการประมาณเดือนหนึ่งนั่นแลอีก เสด็จเข้าไปสู่บุพพาราม ลำดับ
ในกาลต่อมา พระผู้มีพระภาคเจ้า ประทับนั่งในท่ามกลางหมู่พระอริยเจ้าแล้ว ทรงสถาปนาพระเถระนั้นไว้ในตำแหน่งอันเลิศว่า
((((((((( " * * * *. . . ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย...( พระสีวลี )...เป็นผู้เลิศกว่าพวกภิกษุสาวกของเราผู้มีลาภ * * * * * )))))))))
เหตุด้วยประวัติแห่งองค์ ( พระสีวลี ) พระพุทธองค์ทรงยกย่องให้เป็นตำแหน่งเอตทัคคะในบรรดาภิกษุผู้เลิศด้วยลาภและเลิศด้วยยศทั้งหลาย ในอดีตที่ผ่านมีครูบาอาจารย์ที่เล่งเห็นบารมีของท่านได้สร้างรูปเหมือนแทนองค์ท่านไวให้ชนรุ่นหลังได้บูชาไว้หลายท่านด้วยกัน เช่น
พระสีวลี หลวงพ่อแฉ่ง วัดบางพัง ,
พระสีวลี หลวงปู่โต๊ะ วัดประดู่ฉิมพลี ,
พระสีวลี หลวงพ่อกวย วัดโฆสิตาราม
พระสีวลี วัดปราสาทบุญญาวาส
ฯลฯ
ซึ่งปัจจุบันพระเครื่องของครูบาอาจารย์แต่ละท่านเป็นที่ทราบกันอยู่ว่า( ของแท้ ) หายากยิ่งและมีค่าเช่าหาค่อนข้างสูง ดังนั้น ทาง ( พ่อท่านเอื้อม ) และคณะกรรมการวัดสุวรรณจัตตุพลปันนาราม (วัดบางเนียน ) ได้เล่งเห็นสภาพการณ์ปัจจุบันว่า
" ...ยุคนี้เป็นยุคข้าวยากหมากแพง...เงินทองหายาก...จำต้องขอบารมี (((((((( พระสีวลี )))))))) เอตทัคคะในบรรดาภิกษุผู้เลิศด้วยลาภและเลิศด้วยยศ..มาโปรด... "
จึงได้ดำเนินการสร้างองค์( พระสีวลี )ขึ้น...อัศจรรย์อันดับแรก..เริ่มดำเนินการจัดสร้าง...ก็มีผู้เมตตาช่วยเหลือเมตตาออกแบบพิมพ์ องค์พระสีวลีให้ ( โดยช่าง 10 หมู่ )...อัศจรรย์ลำดับต่อมา...ก็ได้ชนวนเก่าอันมีค่าที่ต่าง ๆ ได้มอบให้มาหล่อหลอมสร้างด้วยความเต็มใจและศรัทธา...อัศจรรย์ต่อมา คือ พระอาจาย์ผู้เสกซึ่งเปี่ยมด้วยอภิญญาณ ( พ่อท่านเอื้อม กตปุญโญ ) ได้ทำการอฐิานจิตปลุกเสกอย่างเข้มขลังทรงพลัง
พระสีวลี พ่อท่านเอื้อม วัดบางเนียน นครศรีฯ
รูปหล่อพระสีวลี พ่อท่านเอื้อม กตปุญโญ เจ้าอาวาสวัดสุวรรณจัตตุพลปันนาราม ( วัดบางเนียน ) อำเภอเชียรใหญ่ จังหวัดนครศรีธรรมราช รุ่นยกรูปปั้นเข้าหอพ่อท่านเอื้อม กตปุญโญ เพื่อประดิษฐานมณฑป วัดบางเนียน อำเภอเชียรใหญ่ จังหวัดนครศรีธรรมราช พ.ศ.๒๕๔๙ ขนาดความสูง ๓.๗ เซนติเมตร ( พิมพ์พิเศษแจกกรรมการ ) พ่อท่านเอื้อม กตปุญโญ เสกเดี่ยว ณ วัดบางเนียน เมื่อวันเสาร์ที่ ๘ กรกฎาคม พ.ศ.๒๕๔๙ เวลา ๑๙.๓๙ น.
เนื้อชนวน : เก่าอันลำค่า
ชนวนพระสีวลี วัดพระมหาธาตุ,
ชนวนพระแม่เศรษฐี วัดร่อนนา อำเภอร่อนพิบูลย์ จังหวัดนครศรีธรรมราช,
ชนวนหล่อรูปเหมือนพ่อท่านเอื้อม กตปุญโญ วัดบางเนียน,
ชนวนหล่อพระประธานในอุโบสถ วัดถลุงทอง,
ชนวนวัดสุทัศน์เทพวนาราม รุ่นจอมทัพไทย,
ชนวนหล่อหลวงพ่อพูล วัดไผ่ล้อม จังหวัดนครปฐม,
ชนวน ๒๒๗ พระเกจิอาจารย์ ( หลวงปู่ไข่ วัดเชิงเลน ),
ชนวนพระสังกัจจาย์ พระอาจารย์เนียม วัดบางไทร,
ชนวนพ่อท่านซัง วัดวัวหลุง รุ่นมณฑปตรีมุข,
สินแร่ ๗ ชนิด ๗ เหมือง,
แผ่นยันต์พ่อท่านเอื้อม กตปุญโญ ๑ กิโลกรัม
ฯลฯ
ปัชญาที่ซ้อนอยู่ในองค์ ( พระสีวลี ) พ่อท่านเอื้อม
- ฐานมีโค๊ต อ : พ่อท่านเอื้อม กตปุญโญ อายุ ๑๐๓ ปี เปรียบเสมือนเทพเจ้าแห่งลุ่มน้ำปากพนัง พระเกจิอาจารย์จอมขมังเวทย์ ๑ ศตวรรษ ๕ แผ่นดิน ทองทั้งแท่ง เพชรแท้แห่งลุ่มน้ำปากพนัง
- ตาลปัตร : เครื่องแสดงฐานะของพระสงฆ์/ใช้พัดให้เกิดลมเย็นสบาย/พัดยศ เลื่อนสมณศักดิ์/ใช้สำหรับพัดโบกวีสิ่งชั่วร้ายต่าง ๆ สิ่งอัปมงคล
- บาตร/กาน้ำ : ความอุดมสมบูรณ์ ทรัพย์สินเงินทอง ไม่อดไม่อยาก
- ย่าม : ชีวิตพร้อมด้วยจัตุปัจจัย/ไม่ย่ามใจใช้จ่ายเกินพอดี
- ที่ย่ามมีโค๊ต ตัว นะ โภคทรัพย์ : นะเศรษฐี/นะไม่/นะอย่า คือ ช่วยคุ้มครอง ปกป้อง รักษาภัยพิบัติต่าง ๆ นานา รวมทั้งอุบัติภัย อุบัติเหตุต่าง ๆ รวมทั้งค้าขายกิจการ การค้าดี การงานดี
- ไม้เท้า : มีคนคอยช่วยเหลือ อุปถัมภ์ ค้ำจุน
- การก้าวเท้าขวา : การเริ่มต้นใหม่ในทุก ๆ เรื่อง ควรจะเริ่มด้วยการก้าวเท้าขวา เชื่อกันว่าจะนำเอาความโชคดีมาตั้งแต่เริ่มต้น ไม่ว่าจะเป็นการเริ่มงานใหม่ การเดินทาง หรือการแต่งงาน ต้องเริ่มต้นด้วยการก้าวเท้าขวาก่อนเสมอ
คำบูชาพระสีวลี (พระฉิม) :
อิมินา สักกาเรนะ สีวะลีเถรัง อภิปูชะยามิ สีวลี จะ มหาเถโร อินโท พรัมมาจะ ปูชิตัง สัพพะลาภัง ประสิทธิเม เถรัสสะ อานุภาเวนะ สัพพะโสตถี ภะวันตุเมฯ นะชาลิติ นะชาลิติ นะชาลิติ
คาถาขอลาภพระสีวลี (ประจำวัน)
วันอาทิตย์ (ให้ภาวนา ๖ จบ ) : ฉิมพะลี จะ มหานามัง สัพพะลาภัง ภะวิสสะติ เถรัสสานุภาเวนะ สะทา โหนติ ปิยัง มะมะฯ
วันจันทร์ ( ให้ภาวนา ๑๕ จบ ) : ยัง ยัง ปุริโสวา อิตถีวา ทูเรหิวา สะมีเปหิวา เถรัสสานุภาเวนะ สะทา โหนติ ปิยัง มะมะฯ
วันอังคาร ( ให้ภาวนา ๘ จบ ) : ฉิมพะลี จะมหาเถโร โสะโห ปัจจะยาทิมหิ เชยยะลาโภ มหาลาโภ สัพพะลาภา ภะวันตุ สัพพะทาฯ
วันพุธ ( ให้ภาวนา ๑๗ จบ ) : ทิตติตถะภะเวราชา ปิยาจะ คะระตุเม เย สารัตติ นิรันตะรัง สัพพะสุขาวะหาฯ
วันพฤหัสบดี ( ให้ภาวนา ๑๙ จบ ) : ฉิมพะลี จะ มหาเถโร ยักขาเทวาภิปูชิโต โสระโห ปัจจะยาทิมหิ อะหัง วันทามิ สัพพะทาฯ
วันศุกร์ ( ให้ภาวนา ๒๑ จบ ) : ฉิมพะลี จะ มหาเถโร เทวะตานะปูชิโต โสระโห ปัจจะยาทิมหิ มหาลาภัง กะโรนตุ เม ลาเภนะ อุตตะโม โหติ สัพพะลาภะ ภะวันตุ สัพพะทาฯ
วันเสาร์ ( ให้ภาวนา ๑๐ จบ ) : ฉิมพะลี จะ มหานามัง อินทาพรหมา จะ ปูชิตัง สัพพะลาภัง ประสิทฺธิเม เถรัสสานุภาเวนะ สะทา สุขี ปิยัง มะมะฯ
การสวดพระคาถาขอลาภพระสีวลี ถ้าสวดได้ทุกวันจนครบ ๗ วันได้ยิ่งดี ในกรณีที่ท่านต้องการจะขอลาภเป็นพิเศษ อาทิ จะต้องติดต่อธุรกิจสำคัญใดๆในวันนั้น ให้สวดคาถาบูชาพระสีวลี(พระฉิม)ก่อน แล้วต่อด้วยคาถาขอลาภพระสีวลีประจำวันตามกำลังวันของวันนั้นๆ จะเป็นพระพุทธมนต์อันศักดิ์สิทธิ์ตามจิตปรารถนา ค้าขายดี มีราศีดีนักแล
ประวัติพ่อท่านเอื้อม กตปุญโญ
เป็นชาวจังหวัดสงขลา พ่อท่านเอื้อม อุปสมบทเมื่ออายุ ๕๐ ปี ได้ศึกษาและปฏิบัติธรรมอย่างมุ่งมั่นและจริงจัง โดยการออกจาริกธุดงค์เพื่อแสวงหาโมกขธรรม เดินธุดงค์ไปตามป่า เขา ขึ้นไปทางเหนือถึงจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ และลงใต้จดชายแดนมาเลเซีย ระหว่างธุดงค์ปักกรดตามป่า ถ้ำ และเดินข้ามภูเขาน้อยใหญ่รวม ๖๙ ลูก การปฏิบัติธรรมอย่างเคร่งครัดของพ่อท่านเอื้อมจึงเชื่อกันว่า พ่อท่านได้บรรลุธรรมขั้นสูง ในระหว่างธุดงค์ พ่อท่านเอื้อมได้สร้างวัดตามสถานที่ต่าง ๆ รวม ๗ วัด
๑.วัดท้ายทะเล อ.เชียรใหญ่ จ.นครศรีธรรมราช
๒.วัดไสไท อ.เมือง จ.กระบี่
๓.สำนักสงฆ์เขาวงแหวน อ.ห้วยยอด จ.ตรัง
๔.วัดบางเนียน อ.เชียรใหญ่ จ.นครศรีธรรมราช
๕.สำนักสงฆ์คลองสะเดา อ.เมือง จ.ชุมพร
๖.สำนักสงฆ์เนินธัมมัง อ.เชียรใหญ่ จ.นครศรีธรรมราช
๗.สำนักสงฆ์ควนเขาดิน อ.พระแสง จ.สุราษฎร์ธานี
...นอกจากศึกษาค้นคว้าและปฏิบัติธรรมอย่างเคร่งครัดแล้ว พ่อท่านยังได้ศึกษาค้นคว้าทางไสยเวทและวิทยาคมทั้งศาสตร์อิสลามพราหมณ์ ขอมและพุทธ มาตั้งแต่อายุ ๑๖ปีจนถึงปัจจุบัน(อายุ๑๐๓ปี) จึงทำให้พ่อท่านมีความรู้แตกฉาน ลึกซึ้งและแกร่งกล้าทางด้านไสยศาสตร์ เวทมนต์ คาถาอาคมในทุกด้าน พ่อท่านเอื้อม กตปุญโญ จึงเป็นพระเกจิอาจารย์เพชรน้ำหนึ่งของภาคใต้ที่มีตบะบารมีอันสูงยิ่งวัตถุมงคลที่พ่อท่านอธิษฐานจิตหรือปลุกเสกจะมีอิทธิปาฏิหาริย์และประสบการณ์ทางด้านคงกระพัน แคล้วคลาด คุ้มครอง โชคลาภ และเมตตามหานิยม ซึ่งเกิดขึ้นกับผู้ที่นำไปบูชาจนนับครั้งไม่ถ้วน ศิษยานุศิษย์ ผู้ศรัทธาและบุคคลทั่วไปจึงเคารพนับถือ ศรัทธา แสวงหาวัตถุมงคลของพ่อท่านไว้บูชา และไปคารวะกราบไหว้พ่อท่านกันมากมายตลอดเวลา
(((((((((( หมายเหตุ ))))))))))
1. พระเครื่องและวัตถุมงลอื่น ๆ ทุกชนิดที่ผมลงตั้งประมูลมีค่ากับผมทุกชิ้น ทุกอย่าง สำหรับท่านที่ชนะการประมูลในกระทู้ใด ๆ ของผม ผมจะดูแลเรื่องการจัดส่งและแพ็คกิ้งให้เป็นไปอย่างดี ที่สำคัญผมใช้บริการส่งพัสดุ EMS. / ลงทะเบียน.ทุกครั้งเพื่อความสะดวกรวดเร็วในการรับ...ว่างใจได้ครับ
2. เนื่องจากขณะนี้มีมิจฉาชีพผู้ไม่หวังดีบางกลุ่ม...เข้ามาแฝงเร้นเพื่อที่จะได้รับของแทนคุณผู้ชนะการประมูล โดยระบุเปลี่ยนแปลงที่อยู่ในการจัดส่ง..ดังกระทู้นี้ครับ
( ขออนุญาติใช้ขอความจาก WEBMATER / และ คุณ a-pro )
http://www1.g-pra.com/information/show.php?Category=info1&No=283
โดยคุณ a-pro (117.47.73.*) [5 Mar 2008 20:27] #14474 (92/105)
" ยังไม่รู้ ไม่เห็น ไม่ทราบ เพราะยังไม่มีใครมาชวน นานๆเข้ากระทู้ที่ เดี๋ยวนี้มีอะไรแปลกๆอีกเยอะ เอาที่ชัวร์ๆและเกิดขึ้นแล้วจริง ให้ระวังกันดีกว่า กาลอาทิตย์นี้เอง ( วันจันทร์ ) เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น คุณชนะการประมูล.............. แต่ได้ขอเปลี่ยนชื่อที่อยู่จัดส่งไปที่ คุณ..... จังหวัดสุราษฎร์ธานี ใช่ใหมครับ เพราะ คุณ........ โทร.แจ้งมาให้เปลี่ยนที่จัดส่ง ไอ้เราก็งงและงวย กูอยู่อิสาณ ไม่ได้โทร.สักกะติ๊บ จึงตอบกลับไปไม่ใช่ให้ส่งตามที่อยู่ที่ทางเวปแจ้งแสดงไว้ แต่คุณ........ก็ยังเซ็ซี่ให้ผู้ตั้งประมูลจัดส่งไปให้เช่นเดิม อันนี้เป็นเหตุการณ์สดๆๆอุ่นๆที่เจอมา ระวังการแอบอ้างขอเปลี่ยนแปลงชื่อที่อยู่ในการจัดส่งพระ เพราะจะเกิดความเสียหายต่อท่านผู้ตั้งประมูลได้ แนะนำ ควรจัดส่งให้ตามชื่อที่อยู่ของผู้ชนะการประมูลเท่านั้น เว้นแต่ผู้ชนะการประมูลจะส่งเมลล์แจ้งเปลี่ยนแปลง ย้ำๆๆๆๆๆ ส่งแจ้งทางเมลล์เท่านั้นดีที่สุดเก็บเป็นหลักฐานได้ โทร.แจ้งไม่รู้ตัวจริงหรือปลอม ขอให้ระวัง เรื่องนี้ทางเวปคงทราบแล้วเพราะผู้ตั้งประมูลได้โทร.หารือแล้ว ทางเวปควรออกมาแจ้งให้สมาชิกทราบด้วย หากอยากรู้เป็นใคร แสดงความประสงค์เยอะหน่อยจะมาเฉลยให้ทราบ เปิดเผยหมดเปลือก "
3. ในกรณีที่ท่านชนะการประมูล ผมขอใช้สิทธิ์ส่งของตามที่อยู่ที่ระบุในเวบ...ในการรับของครับ
4. เนื่องจากสมาชิกบางท่านติดปัญหาเรื่องการทำธุระกรรมทางการเงิน ฯลฯ บางท่านก็ผิดนัด / หรือ / ติดต่อไม่ได้ในเบอร์ที่ให้ไว้ในเวบ / ได้รับของแล้วนิ่งเงียบ ฯลฯ ผมขอใช้กฎของทางเวบ
(((((((( . . .โอน / ก่อน โทร.หรือเมล์แจ้ง...ถึงจัดส่ง . . . ))))))) นับแต่นี้เป็นต้นไปครับผม
ข้อคิดดี ๆ จาก พระอาจารย์อ๊อด วัดหน้าพระเมรุราชิการาม ต.ท่าวาสุกรี อ.พระนครศรีอยุธยา จ.พระนครศรีอยุธยา
โชคชะตาบันดาลให้ไม่ได้ทุก ๆ คนเราต้องช่วยตัวเองก่อน........................( 33.3 % )
บุญทานบารมีกรรมที่สร้างไว้แต่ชาติปางก่อนช่วยได้.................................( 33.3 % )
* * * * * โชคชะตา ฤกษ์ผานาที ดวง ดาว และครูบาอาจารย์และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ * * * * * ...........( 33.3 % )
โลกธาตุ..................................................................................................( 0.1 % )
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม
ธัชกร : Tel. 086-344-5234
E-mail : KANWAYRA@HOTMAIL.COM
บ้าน : http://www2.g-pra.com/guaranteepra/index.php?action=showpralist&show_club=459&show=cluball
(((((((((( ลองเคาะกันดูครับ ))))))))))
. |