(0)
พระรูปเหมือน-พิมพ์ใบโพธิ์ ((เนื้อนวะ)) ล.พ.เกษม เขมโก สุสานไตรลักษณ์ จ.ลำปาง รุ่น มงคลลาภ ออกปี 2535 ((พร้อมกล่องบรรจุเดิม-สภาพใหม่กริ๊บ-สวยสมบูรณ์)) หมายเลข 2513








รายงานผลโหวต

จากรูปพระแท้ 0% [0]
จากรูปพระแท้แต่ข้อมูลไม่ถูกต้อง     0% [0]
จากรูปพระเก๊ 0% [0]
พระดูยากจากรูป 0% [0]

จำนวน โหวต



ชื่อพระเครื่องพระรูปเหมือน-พิมพ์ใบโพธิ์ ((เนื้อนวะ)) ล.พ.เกษม เขมโก สุสานไตรลักษณ์ จ.ลำปาง รุ่น มงคลลาภ ออกปี 2535 ((พร้อมกล่องบรรจุเดิม-สภาพใหม่กริ๊บ-สวยสมบูรณ์)) หมายเลข 2513
รายละเอียด--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

......................((เคาะแรก.....แดงเลยครับ)).......................
......................((เคาะแรก.....แดงเลยครับ)).......................
......................((เคาะแรก.....แดงเลยครับ)).......................

--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

.............เป็นพระจองสะสมไว้สภาพใหม่...เก็บไว้เก่าเดิมๆ......ไม่ผ่านการใช้.....ผิวกลับดำตามกาลเวลา...สวยตามรูป.......

..............ชมแล้วชอบ...ก็เชิญท่านว่ากันต่อเลยครับ...........


--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

...................รับประกันความแท้ให้ท่านแบบไม่จำกัดเวลาเลยครับ........

--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ราคาเปิดประมูล458 บาท
ราคาปัจจุบัน478 บาท (!!! ปิดประมูลแล้ว !!!)
เพิ่มขึ้นครั้งละ20 บาท
วันเปิดประมูล - 18 ก.ค. 2564 - 20:39:39 น.
วันปิดประมูล - 19 ก.ค. 2564 - 20:55:07 น. (ปิดประมูลแล้ว)
ผู้ตั้งประมูลราษีเมถุน (3.6K)


(0)
ข้อมูลเพิ่มเติม 1 - 18 ก.ค. 2564 - 20:42:35 น.



--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

……….((ขอบอก)).... ภาพนี้เป็นภาพขณะที่ อาจารย์ฆราวาส สายทอง อยู่สุข เจ้าสำนักปฏิบัติธรรม พรพระเทพ อ.บ้านา จ.นครนายก หลังฝึกสอนถอนจิตออกจากสมาธิพร้อมเหล่าบรรดาศิษย์แล้ว ท่านกำลังเสกวัตถุมงคลชิ้นนี้ โดยท่านจะอัญเชิญ ญาณขององค์เทพ อาจารย์ปู่ที่ (4)-(5)และญาณ (1) ลงประทับยังร่างท่าน ครั้งละ 1 ญาณ เพื่อเสกประจุพลัง บทพุทธคุณอื่นๆลงยังวุตถุมงคลอีก ครับ......

-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

....((ขอบอก)).......วัตถุมงคลชิ้นนี้....ผมได้นำติดรถไปพร้อมๆกับชิ้นอื่นๆอีกหลายกล่องขนาดบรรจุกระดาษขาว A4 ครั้งละหลายๆกล่องและนำไปซ้ำๆกันหลายๆครั้ง....ทุกๆครั้งที่ได้เดินทางไปฝึกปฏิบัติสมาธิ ณ สำนักปฏิบัติธรรมพรพระเทพ ที่ อ.บ้านนา จ.นครนายก.....

.......หลังจากศิษย์ทุกคนถอนจิตออกจากสมาธิทุกครั้ง....พวกเรามักจะขอให้อาจารย์ สายทอง อยู่สุข อาจารย์เจ้าสำนัก ผู้ชี้แนะกำกับในการฝึกได้เมตตา อัญเชิญญาณขององค์เทพอาจารย์ปู่ที่ละสังขารจากพระเกจิมาแล้ว มาสนทนาธรรมเกี่ยวกับเรื่องราวต่างๆในมิติที่เราพบจากการนั่งสมาธิ และอัญเชิญญาณพระประธานโบสถ์ที่มีชื่อเสียง เช่น ล.พ.พระใส / ล.พ.องค์ตื้อ / อมิตตพุทธ วัดจีน หรือองค์เทพที่มีหน้าที่ดูแลประจำโลกองค์อื่นๆ เช่น องค์เทพอาจารย์ปู่ ท่านท้าวพญาครุฑ / องค์เทพอาจารย์ปู่ท่านท้าวเวสุวรรณ / องค์เทพอาจารย์ปู่ท่านท้าวพิฆเณศวร์ ฯ ลงประทับร่างท่าน เพื่อสนทนาธรรม และปิดท้ายด้วยการขอความเมตตาต่อองค์เทพทุกๆองค์ให้ญาณขององค์เทพอาจารย์ปู่ทุกๆญานท่านได้....

...... (ก) เสกหนุนพลังพุทธคุณที่มีอยู่เดิมให้เข้มขลังเต็มพิกัด........((โดยปู่ญาณที่ (4)-(5) ))....
.......(ข) เสกเสริมพลังพุทธคุณที่ยังขาด/ยังไม่มีประจุเพิ่มเติมลงไปให้อีกหลายๆบท
...... (ค) เสกล๊อกพลังพุทธคุณทั้งหมดไม่ให้ผู้มีวิชาดูดซับเอาพลังพุทธคุณที่มีอยู่ในแต่ละชิ้นไปได้....((โดยปู่ญาณปู๋ที่ (4)-(5) ))....

......ญาณที่ได้อัญเชิญลงประทับได้แก่...

......(1) ญาณ ล.พ.พระใส วัดโพธิ์ชัย จ.หนองคาย (เฉพาะญาณนี้ ท่านเมตตา เสด็จลงมาประทับแซกเองโดยยังไม่ได้อัญเชิญท่าน วันนั้นผมเอาพระบูชา ล.พ.พระใส ชุด 3 บารมี ขนาด 9-5-3 นิ้วไปเพื่อเบิกเนตรด้วย คิดว่าท่านแซกลงเพราะเหตุนี้)
......(2) ญาณ ล.พ.องค์ตื้อ วัดศรีชมภูองค์ตื้อ อ.ท่าบ่อ จ.หนองคาย....(ญาณท่านมีเมตตาต่อศิษย์ของสำนักฯมากๆ เพราะท่านว่าเหล่าศิษย์ส่วนมากฝึกจนเข้าถึงซึ่งสมาธิจนติดต่อสื่อสารกันกับอีกมิติได้
......(3) ญาณ อมิตตพุทธเจ้า พระประธานโบสถ์ วัดโพธิ์แมน เขตยานนาวา กทม. (นี่ก็ญานท่านเสด้จมาลงประทับแซกเอง โดยยังไม่ได้อัญเชิญท่าน วันนั้นศิษย์นั่งคุยกันถึงพระพุทธรูปพิมพ์หน้าจีน-และพระกริ่งจีนธิเบต เข้าใจว่าท่านแซกลงประทับเพราะเหตุนี้)....
......(4) ญาณที่ 10 (ปางค์สุดท้าย)ขององค์เทพอาจารย์ปู่ พระอรหันต์เจ้าสารีบุตรเถระ ....นามปู่พรพระพรหม.........((ปู่บอกอยู่ที่นี่แห่งเดียวในโลก))......
......(5) ญาณที่ 10 (ปางค์สุดท้าย)ขององค์เทพอาจารย์ปู่ พระอรหันต์เจ้าโมคคัลลานะเถระ ....นามปู่พันธุรัตน์......………((ปู่บอกอยู่ที่นี่แห่งเดียวในโลก))..........
......(6) ญาณของ ล.ป.ทวด วัดช้างให้ จ.ปัตตานี....
......(7) ญาณของ ล.ป.โต พรมรังษี วัดระฆัง กทม.
......(8) ญาณของ ล.ป.หมุน ฐิตสีโล วัดบ้านจาน จ.ศรีสะเกศ
......(9) ญาณของ ล.ป.แสน ปสันโน วัดบ้านหนองจิก จ.ศรีสะเกศ....

----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------


.......ผมยังมีพระบูชา(รุ่นแรก)เนื้อกระเบื้องหลังค่โบสถ์ ล.พ.โสธร ขนาดบูชา 9-7-5 นิ้ว ว่าจะนำไปเบิกเนตรและเสกเพิ่มโดยขอให้อาจารย์สายทอง ท่านอัญเชิญญาณ ล.พ.โสธร ลงประทับเสก และเบิกเนตร หลังหมดโควิดระบาด....

......และยังมีพระบูชาเนื้อโลหะรมผิว ล.พ.เหลือ รุ่น 100 ปีขนาด 9 นิ้ว วัดสร้อยทอง เขตบางซื่อ กทม.ว่าจะนำไปให้อาจารย์สายทอง ท่านอัญเชิญ ญาณ ล.พ.เหลือ ท่านลงประทับเสก และเบิกเนตรให้อีก....

.....เช่นเคยก็คงนำวัตถุมงคลประเภทพระเครื่อง-เครื่องลาง-ของขลัง-ตะกรุด-ผ้ายันต์ ติดรถไปเสกซ้ำพร้อมกันด้วย.....

---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------


ข้อมูลเพิ่มเติม 2 - 18 ก.ค. 2564 - 20:51:46 น.



------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------


...............ภาพนี้คือขณะที่ญาณของหลวงพ่อพระใส ท่านยังประทับในร่างอาจารย์ฆราวาส สายทอง อยู่สุข กำลังเสกวัตถุมงคลชิ้นนี้ และชิ้นอื่นๆที่กองอยู่ข้างหน้าร่าง ซึ่งผมนำติดรถไป หลังจากที่ท่านได้เบิกเนตร พระบูชา 3 องค์ 3 ขนาด ที่ผมจองเช่าบูชามาจากวัดโพธิ์ชัย จ.หนองคาย รุ่น สามบารมี.........

--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

.............................................((เกร็ดความรู้ที่ประมวลได้จากการฝึกสมาธิมาช้านาน))..............................................

......................................เรื่องการอัญเชิญ ญาณองค์เทพทุกๆพระองค์ลงประทับยัง ร่างมนุษย์ ………………………………
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

....................องค์เทพ มีอยู่ 2 กลุ่ม....(1) กลุ่มที่ท่านมีหน้าที่ประจำโลก เช่นองค์เทพอาจารย์ปู่ท่านท้าวเวสุวรรณ /องค์เทพอาจารย์ปู่ท่านท้าวพญาครุฑ /องค์เทพอาจารย์ปู่ท่านท้าวพิฆเณศวร์......(2) กลุ่มที่ไม่ได้มีหน้าที่ประจำโลก เช่น องค์เทพอาจารย์แม่โพธิสัตว์กวนอิม /องค์เทพอาจารย์แม่ทับทิม /องค์เทพพระเกจิที่ปฏิบัติสำเร็จได้ละสังขารแล้ว เช่น หลวงพ่อต่างๆ /องค์เทพบุคคลทั่วไปที่ปฏิบัติสำเร็จได้ละสังขารแล้ว เช่น แม่ชีบุญเรือน วัดอาวุธ /แม่ชีนกยูง วัดธรรมกาย.... ซึ่งองค์เทพ กลุ่มนี้ หลังจากที่ท่านละสังขาร /กายหยาบ จากโลกแล้ว จิตเดิมของท่านมุ่งปฏิบัติสู่ชั้นนิพพาน เพื่อหลุดพ้น ตามแนวทางพุทธองค์.....
............องค์เทพกลุ่มที่ (1)....คือองค์เทพที่ท่านมีหน้าที่ประจำดูแล/รักษากฎของโลก......((ยังไม่ได้ศึกษา/สอบถามจากท่าน-แต่พอจะเข้าใจได้ว่า ท่านคืนรูปกายท่านได้ /แปลงกายเป็นอะไรก็ได้))
............องค์เทพกลุ่มที่ (2)....คือผู้ที่ภพชาติหลังสุดต้องเกิดเป็นมนุษย์ และปฏิบัติดีปฏิบัติชอบทุกด้านแล้ว เช่นเป็นผู้ที่มีจิตใจตั้งมั่นในการรักษาศีล เป็นผู้จิตใจตั้งมั่นในการทำบุญให้ทาน ฯลฯ.....เมื่อตาย /ละสังขาร....ใจ /จิตใจ /ดวงจิต /ดวงวิญญาณ /กายทิพย์ /กายละเอียด /ผี...(แล้วแต่ว่า สำนักไหนจะเรียกว่าอย่างไร).....เขาจะไปเกิดเป็นเทพ ทันทีเลยโดยไม่ต้องไปเกิดในภพภูมิที่ต่ำอีก เช่นไม่ต้องไปเกิดเป็นเปรต-อสูรกาย-สัตว์เดรัจฉาน ฯลฯ.....

..........เพียงแต่ว่าเขาจะได้ไปเกิดเป็นเทพในชั้นใด เท่านั้นเอง-ซึ่งก็เป็นผลที่มาจากการฝึกปฏิบัติจิตของตนเองเมื่อครั้งเกิดมาในแต่ละภพชาติ และเกิดเป็นมนุษย์ในภพชาติหลังสุดก่อนละสังขาร /ตาย เท่านั้น.......

.......การไปเกิดเป็นเทพ กลุ่มที่ (2) จะไม่มีกายหยาบ คือไม่มีตัวตนให้สัมผัสได้เช่นมนุษย์เรา-เขาจะมีแค่ ก้อนดวงจิต (ผมขอเรียกเอาเองว่าอย่างนี้นะ-อันจะทำให้ท่านได้พอนึกภาพออก+เข้าใจ) สันฐานคล้ายๆก้อนกลมๆ-ใสเหมือนวุ้น-ไม่ทึบแสง คือแสงผ่านได้...มองดูเป็นสุญญากาศ......คิด/อยากไปไหนเขาก็เคลื่อนที่ไปได้โดยการล่องลอยไป-สามารถแปรรูป/เปลี่ยนรูปลักษณ์เป็นแบบใดได้ง่าย......หากเขาคิดที่อยากจะสร้างบุญบารมีต่อไปอีก-ก็ทำได้เพียง ท่องบ่น-สวดมนต์ภาวนากันเท่านั้นเอง......การเคลื่อนที่จะรวดเร็วกว่าความไวแสงนะ-นี่ผมว่าเอาเองเพื่อเปรียบเทียบให้ท่านเข้าใจพอประมาณ.....หรือท่านจะลองเปรียบเทียบกับความนึกคิดของมนุษย์เราดูก็ได้นะ ว่าเราคิดโน่นคิดนี่แว๊บเปลี่ยนกันได้เร็วแค่ไหน.........จะไม่เหมือนมนุษย์เราที่มีโอกาสดีกว่าทำได้สารพัดอย่างมากกว่าเทพ เช่นไปทำบุญเพื่อสร้างบารมีได้....เพราะดวงจิตของเรา เขาจะอยู่ในกายหยาบ/ร่าง/ตัวตน ของเราเอง......เคลื่อนที่ไปด้วยร่างกาย-แต่จะช้ากว่าดวงจิตเคลื่อนที่มากมาย.

------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

…………..……….…เหตุที่องค์เทพท่านต้องลงมาประทับ /สิง /ทรง ยังร่างมนุษย์ ก็ด้วยเหตุผล 2 อย่างคือ.........................
........................(ก) ลงมาคุ้มครอง ยังร่างมนุษย์คนนั้นๆ ที่เคยมีความผูกพันต่อกันมาแต่ภพชาติก่อน คือเขาตามมาดูแลช่วยเหลือกันต่อ ((กรณีนี้ไม่ต้องมีตำหนักองค์เทพ)) เพียงฝึกสมาธิ-ภาวนา-รักษาศีล
........................(ข) ลงมาโปรดสัตว์ คือตั้งใจจะลงมาสร้างบารมีร่วมกันกับมนุษย์บางคน ที่ท่านเลือก/เห็นว่าสามารถที่จะไปด้วยกันได้ /เป็นคนดี ((กรณีนี้ต้องมีตำหนักองค์เทพ)) ต้องฝีกสมาธิ-ภาวนา-รักษาศีล-และช่วยเหลือมนุษย์ โดยมนุษย์ต้องเป็นร่างทรงให้ และที่เป็นร่างก็ต้องลงประทับองค์ช่วยเหลือมนุษย์ให้เขา....

ทั้ง (ก)-(ข) หากเราไม่ยินยอมที่จะรับอาเขามาอยู่ด้วย.....ก็จะโดนเขาแกล้งให้ชีวิตเราเป็นไปต่างๆนาๆ.....ถึงขั้นเป็นคนบ้า ติ้งต๊องเดินตามถนนหนทางดังที่เราเห็นนั่นแหละแทบทั้งนั้น น่าเวทนาสงสาร-เพราะเขาและญาติจะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขา........ถ้าเป็นถึงขั้นนี้แล้วก็จะหาทางแก้ได้ยาก ต้องหาอาจารย์ที่เก่งดูรู้มาช่วยแก้ไขให้…...((เกี่ยวกับเรื่องนี้ ผมเคยต่อว่าองค์เทพอาจารย์แม่และอาจารย์ปู่ว่า ทำไมองค์เทพถึงใจร้ายทำกับมนุษย์ที่เขาไม่รู้เรื่องได้แบบนี้ ทำให้ชีวิตเขาพังพินาศหมดตลอดชาตินี้.....องค์เทพอาจารย์ ท่านตอบกลับว่า ก็มนุษย์บางคนดื้อรั้นไม่เชื่อฟังเอง....ผมเลยว่า ทำไมไม่หาวิธีที่ทำให้เขาเข้าใจเห็นดีเห็นชอบด้วยสมัครใจที่จะรับองค์เทพกันละ.....ท่านก็ตัดพ้อผมว่า-เราก็อย่าต่อว่าองค์เทพมากนักเลย...ฯลฯ.))).....

………….กรณีทั้ง (ก)-(ข) หากองค์เทพเขาหมายมั่นปั้นมือจะเอาร่างของเราเป็นแม่นมั่นแล้ว.....เราจะรับรู้ได้ 2 ทางคือ....(1) การเตือน-เจ้าตัวจะรับรู้ได้โดย เกิดมีความผิดปกติในชีวิต การงาน-การเงิน-การดำรงชีพ-ความเป็นอยู่ส่วนตัว/ครอบครัวของเรา....จะมีเหตุไม่คาดคิดต่างๆ ทั้งทางบวก/ทางลบ เกิดขึ้นกับเรา จนเราต้องเกิดความสังหรณ์ใจ วิ่งหาพระสงฆ์องค์เจ้าให้ตรวจดูดวงชะตา/ หรือไม่ก็วิ่งหาพ่อมดหมอผี ทางไสศาสตร์อื่นๆว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับตัวเรา....ทำไมตัวเราถึงเกิดปัญหา คิดหรือทำอะไรก็ติดๆขัดๆไม่สำเร็จตามหวังทั้งๆที่คิดว่าไม่พลาดแน่
............หากไปเจออาจารย์ที่ดีมีคุณธรรม ของจริงไม่หลอกลวงช่วยแก้ไขแนะนำให้ได้จริงก็นับว่าเราโชคดีไป......เพียงเรายอมรับเขาตามที่เขาบอก.....แต่เราก็ต้องฉลาดที่จะถือโอกาสนี้แลกเปลี่ยนกับเขาได้ เช่น ถ้าจะมาอยู่กับเราก็จงช่วยให้เราได้สำเร็จสมหวังในการปราถนาทุกประการนะ......
(2)เจ้าตัวจะรับรู้จากการฝัน / นิมิต ตามที่เขามาบอกเราในฝัน........

---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

.............................การที่ญาณขององค์เทพท่านจะลงประทับร่าง/กายหยาบ ของมนุษย์นั้น......................................

จะแบ่งออกเป็น 2 ลักษณะ.....คือ การลงมา....1) ลักษณะบุญฤทธิ์.....และ 2) ลักษณะอิทธิฤทธิ์ ครับ......

...........การลงมาลักษณะ ที่ 1) บุญฤทธิ์ ท่านจะลงมาแบบนิ่มนวลไม่โฉ่งฉ่าง-จะเงียบ.....เช่นนี้มักเกิดจากญาณขององค์เทพที่ใหญ่/องค์เทพที่เคยลงมาบ่อยๆแล้ว.......

……......การลงมาลักษณะ ที่ 2) อิทธิฤทธิ์ ก็จะโฉ่งฉ่าง-เสียงดัง-ตัวสั่นแรงแบบที่ท่านเห็นทั่วไปและเรียกว่าผีเข้านั่นแหละ ซึ่งก็จะเห็นกันอยู่ทั่วไป....ทั้งที่เป็นของจริง และของล้อเลียน.......เช่นนี้มักจะเกิดกับการมาขององค์เทพเล็กๆ/ที่เพิ่งลงมาใหม่......ยังไม่สามารถควบคุมญาณของตนกับร่าง/กายหยาบของมนุษย์ให้กลมกลืนเป็นหนึ่งเดียวร่วมกันได้-ดั่งเช่นเราหัดขับรถยนต์ใหม่ๆ-ก็จะใช้สมอง-มือ-เท้า-ในการสั่งการในการขับยังไม่ค่อยชำนาญนั่นแหละครับ.......

------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

...........................................การประทับร่าง /การประทับทรง /การสิงร่าง มีอยู่ 2 แบบ คือ……………………………………..

.........................(ค) แบบเต็ม 100% (คือญาณขององค์เทพลงประทับร่างมนุษย์เป็นเทพเต็มตัวเต็มที่)
.........................(ง) แบบแฝง คือ ญาณขององค์เทพลงประทับ /สิง ร่างมนุษย์ได้แค่ประมาณ 10 / 20% (ผมคิดเทียบเคียงให้เข้าใจเอาเองนะ) จึงเรียกว่ามนุษย์กึ่งเทพ....

----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

.........................(ค)-1.ผู้ที่เป็นเจ้าของร่างที่จะอัญเชิญ/ยินยอมให้ญาณขององค์เทพต่างๆลงประทับ /เข้าสู่ตัวเราได้เต็ม 100% จริงๆนั้น....
ต้องเป็นผู้มีคุณสมบัติดังนี้ก่อน.........
..................... (1) ต้องเป็นผู้ที่ฝึกสมาธิจนเข้าถึงซึ่งสมาธิได้ไปถึงขั้นแยกจิตออกจากกายตนเองได้ เป็นคนละส่วนกัน ดังที่เรียกกันว่าจิตเห็นกาย – กายเห็นจิต.....((เพราะเมื่อตอนจะอัญเชิญให้ญาณขององค์เทพลงประทับยังตัวเรา จิตเราต้องถอยออก /หลีกจากร่างของเราเปิดทางให้ญาณองค์เทพลงแทนจิตเราแบบเต็ม 100%)).........
....................(2) ต้องมีสุขภาพพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรง-อนาคตคือคนอายุยืนไม่อายุสั้น
............................(ค)-2 การลงประทับร่างมนุษย์ขององค์เทพได้เต็ม100% จะเป็นดังนี้....
............................1-หูบอด/หนวก-ตาบอด ชั่วขณะประทับ หมายถึงหูของร่างมนุษย์ที่ถูกองค์เทพลงประทับเต็ม 100% จะไม่ได้ยินที่เขาสนทนากัน และตาก็จะไม่เห็นว่ามีใครเป็นใครบ้างในระหว่างที่เขาสนทนากันกับญาณองค์เทพ....
..........................2-ใช้เข็มเหยาะ/แทงเบาๆ ร่างจะไม่สะดุ้งสะเทือนเจ็บ/ตกใจเพราะเจ็บ....
..........................3-ญาณขององค์เทพขณะประทับร่าง ท่านจะไม่สบตากับมนุษย์ เพราะไม่มีแววตา..
..........................4-ปากพูดเสียงเป็นภาษาเทพ-ซึ่งภาษาเทพที่ใช้สื่อสารกัน จะมีหลากหลายแบบ/หลายภาษาแตกต่างกัน ((เรื่องนี้ต้องขอเวลาศึกษาให้ละเอียดอีกทีก่อน-แต่เมื่อแปลออกมาเป็นภาษาไทยก็จะมีความหมายเหมือนกัน-ยังไม่ค่อยเข้าใจเท่าใดต้องใช้เวลาศึกษาต่อ))...

-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

.........................(ง)-1.ผู้ที่เป็นเจ้าของร่างที่จะอัญเชิญ/ยินยอมให้ญาณขององค์เทพต่างๆลงประทับแฝง /เข้าแฝงสู่ตัวเราได้นั้น....
ต้องเป็นผู้มีคุณสมบัติดังนี้ก่อน.........
..................... (1) ต้องเป็นผู้ที่ฝึกสมาธิขั้นต้นๆได้
......................(2) ต้องมีสุขภาพพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรง-อนาคตคือคนอายุยืน ((ข้อดีเรื่องนี้เจ้าตัวสามารถรู้ล่วงหน้าได้เลยว่าตัวเองจายุยืน-ไม่ตายง่ายๆ))
..........................(ง)-2 การลงประทับแฝงร่างมนุษย์ขององค์เทพได้จะเป็นดังนี้....
..........................1-หูไม่บอด/หนวก-ตาไม่บอด หมายถึงหูของร่างมนุษย์ที่ถูกองค์เทพลงประทับแฝง จะได้ยินที่เขาสนทนากัน และตาก็จะเห็นว่ามีใครเป็นใครบ้างในระหว่างที่เขาสนทนากันกับญาณองค์เทพ...ด้วยเหตุนี้ จึงเป็นส่วนสำคัญที่เขาเอาความเห็น-ความรู้สึกเดิม/สัญชาตญาณเดิมของตน เข้าไปใช้ประมวลผลออกมาในรูปแบบที่กล่าวอ้างว่าเป็นขององค์เทพ ซึ่งไม่ถูกต้องเลย.เป็นช่องทางให้ /หาประโยชน์จากมนุษย์ผู้ไม่รู้ไม่เข้าใจได้ง่ายๆ ถ้าหลงเชื่อ
..........................2-ใช้เข็มเหยาะ/แทงเบาๆ ร่างจะสะดุ้งสะเทือนเจ็บ/ตกใจเพราะเจ็บจิต เขายังเป็นของเจ้าของร่างอยู่เช่นเดิม....
..........................3-ญาณขององค์เทพขณะประทับร่าง ท่านจะสบตากับมนุษย์ เพราะส่วนใหญ่แววตายังคงเป็นของร่างเขาอยู่..
..........................4-ปากพูดเสียงเป็นภาษาเทพ-ซึ่งภาษาเทพที่ใช้สื่อสารกัน จะมีหลากหลายแบบ/หลายภาษาแตกต่างกัน ((เรื่องนี้ต้องขอเวลาศึกษาให้ละเอียดอีกทีก่อนนะ-แต่เมื่อแปลออกมาเป็นภาษาไทยก็จะมีความหมายเหมือนกัน-ยังไม่ค่อยเข้าใจเท่าใดต้องใช้เวลาศึกษาต่อ))...เท่าที่ผมดูในยูทูป บางรายเทพแฝงพูดออกมา ผมแปลได้เข้าใจ....แต่บางราย ต้องเอาไปเปิดให้อาจารย์ท่านดูและช่วยแปลให้ ท่านบอกว่าใช่ภาษาเทพจริงมีนมีอีกแบบ..........

…………….((ความหมายของการที่องค์เทพลงแฝง คือ)).......ร่างมนุษย์คนนั้นยังฝึกทำได้แค่สมาธิขั้นต้นๆแต่ยังไม่สามารถแยกจิตออกจากร่างได้ องค์เทพจะเข้าสู่ร่าง / เบียดเข้าไปกินเนื้อที่ในตัวตนเองได้แค่เป็นการแฝง ซึ่งอาจจะแฝง/เบียดเข้ามาในกายได้แค่ไม่กี่% ผมประมาณเองนะว่า อาจแค่ 10/20 %ไม่น่าจะเกินนี้....ถ้าลงได้แค่นี้ แบบนี้เรียกว่ามนุษย์กึ่งเทพ....และต้องเรียกว่าองค์เทพลงแฝง แบบนี้ท่านสมาชิกจะเข้าไปหาดูได้มีเยอะแยะในยูทูป.....พวกเทพลงแฝง จะมีความรู้สึก-นึกคิด-และพูดมาทางมนุษย์มากกว่าไปทางเทพ ตามอัตตราส่วนการเข้าแฝง หู-ตา เขาจะยังเป็นของมนุษย์ที่มองเห็น-ได้ยิน เป็นปกติแบบมนุษย์เรานี่แหละ...ส่วนปากก็พูดภาษาเทพปนภาษามนุษย์แล้วแต่เขาจะพูดเพื่อให้ตนดูว่าเป็นเทพพูด หรือพูดหวังประโยชน์อื่นๆ เพราะเขายังมีจิตสำนึกความเป็นมนุษย์มากกว่าเทพ..แต่หากองค์เทพลงประทับร่างเต็ม 100% หุ-ตาจะถูกปิด และแทนที่ด้วยญาณขององค์เทพ จะสังเกตุได้ว่าการลงองค์เต็ม 100% จริงนั้น ท่านจะไม่สบสายตาเรา หรือหากเอาเข็มเหยาะลงที่ร่างขณะนั้นจะไม่มีอาการสะดุ้งเจ็บแต่อย่างใด..........

------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

………………….มนุษย์เราแยกออกเป็น 2 ช่วงเวลา คือ (ก) เมื่อมีชีวิต (ข) เมื่อหลังหมดชีวิต/ตาย……………………………….

..................(ก) เมื่อมีชีวิตอยู่ กายเราจะแยกออกจากจิตได้ชัดเจนเป็นคนละส่วนกันได้แก่ 1-ส่วนที่เป็นกาย และ 2-ส่วนที่เป็นจิต ซึ่ง 2 ส่วนนี้จะแยกออกจากกันได้ก็ต่อเมื่อ เราฝึกสมาธิจนถึงขั้นเข้าถึงซึ่งสมาธิได้จริงๆจนไปถึงการแยกจิตออกจากกายได้เอง ซึ่งเราต้องฝึกฝืนธรรมชาติเอาเอง
1-ส่วนกาย=เมื่อมีชีวิตอยู่ เราจะเรียกว่า ร่างกาย / ตัวตน / สังขาร ฯ /ธาตุทั้ง 4
2-ส่วนจิต=เมื่อมีชีวิตอยู่เราจะเรียกว่า จิต / ดวงจิต / ดวงใจ / หัวใจ
...................(ข) เมื่อหลังหมดชีวิต/ตาย ครั้นมนุษย์ตายลงไป จิตเราจะแยกออกจากกายโดยอัตโนมัติ โดยไม่ต้องฝึกเป็นสมาธิมาก่อนก็ได้ ซึ่งก็เป็นไปตามธรรมชาติของเขา จิตจะแยกออกจากกายได้ชัดเจนเป็นคนละส่วนกันได้แก่ 1-ส่วนที่เป็นกาย และ 2-ส่วนที่เป็นจิต
1-ส่วนกาย=เมื่อหมดชีวิต/ตาย เราจะเรียกว่า ศพ / สังขาร / ขอน / ซาก
2-ส่วนจิต=เมื่อหมดชีวิต/ตาย เราจะเรียกว่า ดวงจิต / ดวงวิญญาณ / วิญญาณ / ญาณ / กายทิพย์ / ผี

-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

……............ด้วยเหตุนี้ ท่านสมาชิก ท่านอย่าเพิ่งคิดว่าสิ่งที่ท่านยังไม่รู้ยังไม่เห็นตามที่ผมบอกมา เพราะขาดการฝึกฝน ว่าจะไม่มีในโลกนี้นะครับ.......ผมถึงได้เพียรหมั่นบอกกล่าวไหนๆพวกเราก็มีจิตโน้มนำมาทางด้านนี้กันแล้ว จงเป็นชาวพุทธจริงๆ เดินตามทางที่พุทธองค์ค้นหาจนเจอและชี้แนะทางนั้นให้แก่เราแล้ว....โดยให้ท่านหมั่นฝึกนั่งสมาธิก่อนนอนทุกๆวัน เมื่อถึงเวลาหนึ่งแล้ว ท่านจะรู้จริงว่า ยังมีอีกมิติหนึ่งคู่กันมากับโลกเราช้านาน คือ โลกแห่งจิตวิญญาณ......ปัจจัดตังเวทิตัพโพ ครับ.........ขออวยพรให้ทุกๆท่านได้ประสบความสมหวังเช่นกันนะครับ....ไม่ยากเกินความตั้งใจครับ........

--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

…………………ผมอยากให้ท่านสมาชิกสนใจที่จะเริ่มฝึกสมาธิ....ให้ท่านไปหาหนังแผ่น ซีดี มาดูด้วยความตั้งใจ คือเรื่อง....พระพุทธเจ้าศาสดาโลก ....ซึ่ง ทีวีเคยเอามาฉายแล้ว.........ดูเฉพาะช่วง สิทธถะเริ่มออกจากวัง นุ่งห่มชุดนักบวช ไปพบฤษี/ดาบส ดูไปเรื่อยๆ ท่านจะได้ความรู้เกี่ยวกับเรื่องทำสมาธิ จนถึงแยกจิตออกจากกาย ตอนที่สิทธถะแยกจิตขึ้นไปพบอาจารย์ อาดารดาบส ท่านถอดจิตไปภาวนาอยู่บนชั้นฟ้าจริงๆ...ซึ่งผมคิดว่า คนเขียนบท/เจ้าของผู้สร้าง เขาน่าจะมีความรู้ขั้นพื้นฐานเกี่ยวกับการทำสมาธิจนขั้นแยกจิตออกจากกายได้เช่นกัน.........

---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------


ข้อมูลเพิ่มเติม 3 - 19 ก.ค. 2564 - 00:01:21 น.



......((ห้ามเด็ดขาด))....ท่านที่ได้วัตถุมงคลชิ้นนี้ไปแล้ว....ขอห้ามท่านนำไปให้เกจิรูปใดๆได้เสกประจุพลังพุทธคุณเพิ่มลงไปอีกโดยเด็ดขาดนะครับ.....

........เพราะเกจิที่ท่านยังคงรูปกายสังขารท่านเป็นมนุษย์มีชีวิตอยู่....ท่านจะไม่สามารถต้านพลังพุทธคุณที่ประจุอยู่ในวัตถุชิ้นนี้ที่เหนือกว่าท่านได้ พลังพุทธคุณที่มีอยู่จะสะท้อนเข้าหาตัวท่าน จะเป็นผลทำให้วิชาของเกจิท่านที่มีอยู่เสื่อมสลายไปหมด และร่างกายท่านจะอ่อนแรงตลอดไป.....


...... เพราะการสะท้อนกลับของบทพุทธคุณที่แรงกว่านี้...ถ้าท่านหลงลืมฝืนทำไปแล้ว เกจิของท่านมีอาการเป็นแบบที่ผมบอกมานี้ ขอให้ท่านต้องบอกผม เพราะต้องให้อาจารย์สายทองท่านช่วยแก้ไขให้เกจิของท่านกลับมามีชีวิตปกติ โดยท่านต้องมีค่าครูหลายตังค์(หลักหมื่น) และใช้เวลาแก้ไขทุกๆคืนติดกันนาน 6 เดือนนะครับ.....ไม่งั้น กรรมที่ท่านได้กระทำให้เกจิที่เป็นครูบาอาจารย์ของท่านได้รับผลจนเป็นเช่นที่ว่ามานั้น จะส่งผลกรรมแก่ชีวิตท่านทันตาเห็นทันที ดังที่ผมเคยผิดพลาดและเจอมาแล้วกะตัวเอง-เข็ดเลย.....ไม่ได้โม้/ไม่ได้โฆษณาเพื่อจะขายของด้วยคำเท็จ....
......จึงขอบอกเตือนไว้ให้รู้ก่อนนะว่าอย่าทำ....แต่หากจะให้เกจิที่ท่านนับถือของท่านจับทดสอบความเข้มขลังพลังพุทธ คุณเพื่อเช็คความแรงเฉยๆนั้น ทำได้ครับ แต่ห้ามเสกเด็ดขาด........


 
ราคาปัจจุบัน :     478 บาท
เพิ่มขึ้นครั้งละ :     20 บาท

!!! ปิดประมูลแล้ว !!!

ผู้ชนะประมูล    jameborn (51)

 

Copyright ©G-PRA.COM