(0)
พระขรัวอีโต้ลอยน้ำ กรุวัดเลียบ หรือ วัดราษฎร์บูรณะ กทม. ทองเดิมเนื้อเก่าจัดยุคต้น เลี่ยมทองสั่งทำอย่างดี สวยๆ + บัตรรับรอง GPRA







ชื่อพระเครื่องพระขรัวอีโต้ลอยน้ำ กรุวัดเลียบ หรือ วัดราษฎร์บูรณะ กทม. ทองเดิมเนื้อเก่าจัดยุคต้น เลี่ยมทองสั่งทำอย่างดี สวยๆ + บัตรรับรอง GPRA
รายละเอียดพระขรัวอีโต้ลอยน้ำ กรุวัดเลียบ หรือ วัดราษฎร์บูรณะ กทม. ทองเดิมเนื้อเก่าจัดยุคต้น เลี่ยมทองสั่งทำอย่างดี สวยๆ + บัตรรับรอง GPRA
องค์นี้เป็นกรุวัดเลียบยุคต้น ตัวจริง ไม่ใช่ของ กรุวัดเทพากร ราคาและความหายากต่างกันครับ


พระขรัวอีโต้ กรุวัดเลียบ หรือ วัดราษฎร์บูรณะ บางครั้งก็เรียกขานกันว่า พระขรัวอีโต้ลอยน้ำ เป็นพระกรุที่บรรจุไว้ในเจดีย์ในวัดราษฎร์บูรณะ เป็นที่รู้จักกันมาตั้งแต่ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยตามตำนานขรัวอีโต้ หรือหลวงพ่อขรัวอีโต้ เป็นภิกษุรูปหนึ่งในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย คือสมัยเสียกรุงครั้งหลังสุด (พ.ศ. 2310 กรุงศรีอยุธยาเสียแก่พม่า ประชาชนถูกกวาดต้อนไป เป็นเชลยยังกรุงหงสาวดีเป็นอันมาก รวมทั้งพระสงฆ์สามเณรด้วย ในจำนวนนั้นมีภิกษุรูปหนึ่ง ได้ร่วมไปในกลุ่มเชลยศึกพร้อมทั้งโยมหญิง โยมชาย พี่ร่วมท้องน้องร่วมสายโลหิต ต้องตกไปเป็นเชลยพม่าอยู่เป็นเวลาแรมปี ภายหลังเมื่อโยมบิดามารดาที่ชราอยู่แล้ว และต้องตกระกำลำบากจากบ้านเกดเมืองนอนไปอยู่แดนศัตรู มีความทุกข์ระทมใจเป้นอย่างมากก็ถึงแก่ความตายทั้งสองท่าน
พระภิกษุรูปนั้นจึงหดความห่วงใย ไม่คิดจะอยู่ในหงสาวดีต่อไป ท่านจึงเล่าความในใจให้น้องสาวของท่านฟัง น้องสาวของท่านเห็นดีตามที่พระพี่ชายคิดไว้ พอได้ฤกษ์งามยามดีในราตรีกาลวันหนึ่ง พระภิกษุและน้องสาวจึงหลบหนีจากแดนเชลยในหงสาวดี มุ่งหน้าสู่กรุงศรีอยุธยา โดยเหตุที่ท่านเป็นผู้เรืองวิชาอาคม ท่านจึงพาน้องสาวของท่านหลบหนีข้าศึก รอนแรมมาในระหว่างทาง ค่ำที่ไหนก็หยุดพักนอนที่นั่น โดยใช้มีดอีโต้ที่ถือติดมือมาเล่มเดียว วางไว้ตรงกลางระหว่างตัวท่านนอนข้างหนึ่ง น้องสาวของท่านนอนข้างหนึ่ง รอนแรมเรื่อยมาเป็นเวลาแรมเดือน เล่ากันมาว่าจนผมยาวดังองคุลี เป็นที่ผิดสังเกต เพราะสมัยนั้นพระสงฆ์ 15 วันปลงผมครั้งหนึ่ง เมื่อถึงกรุงศรีอยุธยาและบ้านเกิดแล้ว เห็นแต่บ้านร้างเมืองว่างเปล่าปรักหักพังไม่มีผู้คนอาศัย ต้องย้ายไปอยู่บางกอก ท่านจึงพาน้องสาวของท่านเดินทางต่อไปยังบางกอก แล้วพักอยู่จำพรรษาที่วัดเลียบ หรือวัดราชบุรณะในปัจจุบัน
ในวันสองวันนั้น ก็มีเหตุไม่ดีงามเกิดขึ้น โดยประชาชนโจทก์ขานกันว่า ท่านเป็นผู้มีศีลไม่บริสุทธิ์บ้าง เป็นปราชิกบ้าง เพราะอยู่ร่วมด้วยสตรีมาเป็นเวลานาน ท่านไม่โต้ตอบด้วยประการใด แต่ยืนยันว่า ศีลของท่านยังบริสุทธิ์อยู่ ไม่ด่างพร้อยแม้แต่น้อย ประชาชนค้านว่า ใครจะเชื่อท่านได้ ท่านตอบว่า เราและน้องเรารู้ดี และอีโต้เล่มนี้แหละเป็นพยาน แล้วท่านก็ถืออีโต้เล่มนั้นเดินไปที่สระน้ำพร้อมกับประชาชน (สระนี้ เมื่อวัดอยู่ในสภาพเดิม ตั้งอยู่ระหว่างคณะ 14 กับคณะ 16 กว้างประมาณ 10 วา ยาวประมาณ 20 วา อยู่กลางวัด) สำหรับพระสงฆ์ใช้เป็นน้ำฉัน ผู้ใหญ่เล่าว่า เมื่อสมัยก่อน สระน้ำนี้เป็นสระน้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์ มีหินใหญ่ลอยอยู่แผ่นหนึ่ง พระเณรเวลาจะเข้าแปลหนังสือเป็นมหาบาเรียญมักมาขออาบน้ำในสระนี้ ฯลฯ ต่อมามีคนไปทำสกปรกหินเลยจมหายไป ภายหลังเป็นที่ต่อมามีคนไปทำสกปรกหินเลยจมหายไป ภายหลังเป็นที่ปล่อยเต่า-ปลา มีเต่าใหญ่ ๆ ปลาใหญ่ ๆ มากปัจจุบัน ถูกถมเป็นที่สร้างเป็นอาคารพานิชซึ่งตรงข้าม ร.ร.สวนกุหลาบฝั่งวัดขณะนี้ พลางตั้งสัตย์อธิษฐานว่า "หากศีลจารวัตรของข้าพเจ้ายังบริสุทธิ์อยู่ ขอให้มีดโต้เล่มนี้จงลอยอยู่ผิวน้ำปรากฏแก่สายตาคนทั้งหลาย หากข้าพเจ้าวิบัติโดยศีลจารวัตรแล้ว ก็ขอให้มีดเล่มนี้จงจมลงในน้ำนี้ตามสภาพเถิด" อธิษฐานแล้วท่านก็โยนมีดลงไป ปรากฏเป็นที่มหัศจรรย์ยิ่ง เพราะมีดเล่มนั้นลอยน้ำประจักษ์แก่สายตาของประชาชนทั่วไปที่มุ่งดูอยู่ในที่นั้น

ด้วยความมหัศจรรย์นี้ ทำให้กิตติศัพท์ของท่านขจรไปอย่างรวดเร็ว ว่าท่านมีศีลาจารวัตรบริสุทธิ์จริง ๆ ประชาชนเกิดความเลื่อมใสศรัทธา ถึงกับขนานนาม ท่านว่า "ขรัวอีโต้ลอยน้ำ" เมื่อท่านแสดงความบริสุทธิ์ให้ปรากฏดังนั้นแล้ว จึงเป็นที่เคารพนับถือของปวงชนทั่วไปตลอด จนกระทั่งเจ้านายชั้นผู้ใหญ่ จนสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกพระราชทานสมณศักดิ์ที่ "สมเด็จพระศรีสมโพธิราชครู" แต่ประชาชนยังเรียกท่านว่า หลวงพ่อขรัวอีโต้ และสืบปากคำต่อกันมาจนปัจจุบันนี้ ในสมัยพระพุทธเลิศนภาลัย สมเด็จพระศรีสมโพธิราชครูได้ทิ้งผลงาน ที่ท่านสร้างไว้คือ พระเครื่องขนาดเล็กที่เรียกว่า "พระขรัวอีโต้ลอยน้ำ" ปรากฏหลักฐานการสร้างในจารึกแผ่นทอง

การขุดพบพระขรัวอีโต้
พระกรุนี้แตกออกมาด้วยการถูกขุดเจาะประมาณปี พ.ศ.2475 ขณะมีการสร้างสะพานพระพุทธยอดฟ้าแต่มีจำนวนไม่มากนัก จนกระทั่ง พ.ศ.2486 สงครามกำลังถึงจุดเดือด สัมพันธมิตรนำเครื่องบินมาทิ้งระเบิดถล่มสะพานพุทธฯ และโรงไฟฟ้าวัดเลียบจึงหลงมาถล่มลงที่พระอุโบสถน์และลานวัดจนเจดีย์ทะลาย พระชุดนี้จึงทะลักออกมาเป็นจำนวนมาก

พุทธลักษณะ
เป็นพระพุทธประทับนั่งมารวิชัยอยู่ในทรงกรอบรูปเล็บมือปลายแหลมรองรับด้วยบานเส้นลวดเกลี้ยงสองชั้นและซุ้มกรอบด้านนอกก็เป็นซุ้มเส้นลวดเกลี้ยงเช่นกัน เป็นพระเนื้อดินผสมผงลงรักปิดทองมาแต่ในกรุอย่างงดงาม ของปลอมเป็นพระถอดพิมพ์จึงหดและฝ่อกว่าของจริง รักทองก็สดใหม่แม้จะมีการแช่ด่างทับทิมเพื่อให้ดูหม่นเก่า
ราคาเปิดประมูล550 บาท
ราคาปัจจุบัน7,050 บาท (!!! ปิดประมูลแล้ว !!!)
เพิ่มขึ้นครั้งละ100 บาท
วันเปิดประมูล - 18 ส.ค. 2564 - 21:21:42 น.
วันปิดประมูล - 19 ส.ค. 2564 - 21:24:26 น. (ปิดประมูลแล้ว)
ผู้ตั้งประมูลmidori (5.7K)


(0)
ข้อมูลเพิ่มเติม 1 - 18 ส.ค. 2564 - 21:22:09 น.



หายาก พระกรุอายุร้อยกว่าปี แท้ๆ แขวนเดี่ยว ไม่อายใคร "พระรอดขรัวอีโต้ กรุวัดเลียบ ลงทองเดิมสวยสมบรุณ์ ฟอร์มดี

องค์นี้สมบรูณ์ ปิดทองเดิมเต็มสวยๆ แบบนี้ หายากส์ ครับผม...


ข้อมูลเพิ่มเติม 2 - 18 ส.ค. 2564 - 21:22:38 น.



เรื่อง “ขรัวอีโต้” ในวงการหนังสือ ส.พลายน้อย ค้นคว้าได้มาอีกอย่าง มีพระราชนิพนธ์รัชกาลที่ 4 เรื่องหนึ่งว่า “บางพวกกล่าวว่า (ในสมัยกรุงแตก) พระสงฆ์รามัญรูปหนึ่ง (รอนแรมจากพม่า) กับน้องหญิงมาด้วยกันในป่า
ครั้นมาถึงเมืองสยามแล้ว พระสงฆ์ทั้งปวงรังเกียจ ไม่ร่วมสังฆกรรมด้วย
พระสงฆ์รามัญรูปนั้น จึงบอกว่า “ตัวบริสุทธิ์อยู่” เมื่อเวลานอนในป่า ได้วางพร้า ภาษารามัญเรียกว่า “ปะแระตะราย” เล่มหนึ่งไว้ท่ามกลาง มีแต่พร้าเป็นพยาน จึงทำสัตยาธิษฐานเฉพาะต่อความบริสุทธิ์และไม่บริสุทธิ์ แล้วขว้างพร้าลงไปในน้ำ พร้านั้นบันดาลลอยเห็นเป็นประจักษ์ พระเจ้าแผ่นดินทรงทราบความเรื่องนี้ จึงทรงพระราชศรัทธาเลื่อมใส ตั้งพระภิกษุนั้นเป็นที่ “พระไตรสรณธัช” แล้วทรงนับถือพระสงฆ์รามัญ ซึ่งเป็นศิษย์พระไตรสรณธัชนั้นสืบมา
ขอบคุณครับ


ข้อมูลเพิ่มเติม 3 - 18 ส.ค. 2564 - 21:22:54 น.



องค์นี้สมบรูณ์ ปิดทองเดิมเต็มสวยๆ แบบนี้ หายากส์ ครับผม...
พระขรัวอีโต้ กรุวัดเลียบ หรือ วัดราษฎร์บูรณะ บางครั้งก็เรียกขานกันว่า พระขรัวอีโต้ลอยน้ำ เป็นพระกรุที่บรรจุไว้ในเจดีย์ในวัดราษฎร์บูรณะ เป็นที่รู้จักกันมาตั้งแต่ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยตามตำนานขรัวอีโต้ หรือหลวงพ่อขรัวอีโต้ เป็นภิกษุรูปหนึ่งในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย คือสมัยเสียกรุงครั้งหลังสุด (พ.ศ. 2310 กรุงศรีอยุธยาเสียแก่พม่า ประชาชนถูกกวาดต้อนไป เป็นเชลยยังกรุงหงสาวดีเป็นอันมาก รวมทั้งพระสงฆ์สามเณรด้วย ในจำนวนนั้นมีภิกษุรูปหนึ่ง ได้ร่วมไปในกลุ่มเชลยศึกพร้อมทั้งโยมหญิง โยมชาย พี่ร่วมท้องน้องร่วมสายโลหิต ต้องตกไปเป็นเชลยพม่าอยู่เป็นเวลาแรมปี ภายหลังเมื่อโยมบิดามารดาที่ชราอยู่แล้ว และต้องตกระกำลำบากจากบ้านเกดเมืองนอนไปอยู่แดนศัตรู มีความทุกข์ระทมใจเป้นอย่างมากก็ถึงแก่ความตายทั้งสองท่าน
พระภิกษุรูปนั้นจึงหดความห่วงใย ไม่คิดจะอยู่ในหงสาวดีต่อไป ท่านจึงเล่าความในใจให้น้องสาวของท่านฟัง น้องสาวของท่านเห็นดีตามที่พระพี่ชายคิดไว้ พอได้ฤกษ์งามยามดีในราตรีกาลวันหนึ่ง พระภิกษุและน้องสาวจึงหลบหนีจากแดนเชลยในหงสาวดี มุ่งหน้าสู่กรุงศรีอยุธยา โดยเหตุที่ท่านเป็นผู้เรืองวิชาอาคม ท่านจึงพาน้องสาวของท่านหลบหนีข้าศึก รอนแรมมาในระหว่างทาง ค่ำที่ไหนก็หยุดพักนอนที่นั่น โดยใช้มีดอีโต้ที่ถือติดมือมาเล่มเดียว วางไว้ตรงกลางระหว่างตัวท่านนอนข้างหนึ่ง น้องสาวของท่านนอนข้างหนึ่ง รอนแรมเรื่อยมาเป็นเวลาแรมเดือน เล่ากันมาว่าจนผมยาวดังองคุลี เป็นที่ผิดสังเกต เพราะสมัยนั้นพระสงฆ์ 15 วันปลงผมครั้งหนึ่ง เมื่อถึงกรุงศรีอยุธยาและบ้านเกิดแล้ว เห็นแต่บ้านร้างเมืองว่างเปล่าปรักหักพังไม่มีผู้คนอาศัย ต้องย้ายไปอยู่บางกอก ท่านจึงพาน้องสาวของท่านเดินทางต่อไปยังบางกอก แล้วพักอยู่จำพรรษาที่วัดเลียบ หรือวัดราชบุรณะในปัจจุบัน
ในวันสองวันนั้น ก็มีเหตุไม่ดีงามเกิดขึ้น โดยประชาชนโจทก์ขานกันว่า ท่านเป็นผู้มีศีลไม่บริสุทธิ์บ้าง เป็นปราชิกบ้าง เพราะอยู่ร่วมด้วยสตรีมาเป็นเวลานาน ท่านไม่โต้ตอบด้วยประการใด แต่ยืนยันว่า ศีลของท่านยังบริสุทธิ์อยู่ ไม่ด่างพร้อยแม้แต่น้อย ประชาชนค้านว่า ใครจะเชื่อท่านได้ ท่านตอบว่า เราและน้องเรารู้ดี และอีโต้เล่มนี้แหละเป็นพยาน แล้วท่านก็ถืออีโต้เล่มนั้นเดินไปที่สระน้ำพร้อมกับประชาชน (สระนี้ เมื่อวัดอยู่ในสภาพเดิม ตั้งอยู่ระหว่างคณะ 14 กับคณะ 16 กว้างประมาณ 10 วา ยาวประมาณ 20 วา อยู่กลางวัด) สำหรับพระสงฆ์ใช้เป็นน้ำฉัน ผู้ใหญ่เล่าว่า เมื่อสมัยก่อน สระน้ำนี้เป็นสระน้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์ มีหินใหญ่ลอยอยู่แผ่นหนึ่ง พระเณรเวลาจะเข้าแปลหนังสือเป็นมหาบาเรียญมักมาขออาบน้ำในสระนี้ ฯลฯ ต่อมามีคนไปทำสกปรกหินเลยจมหายไป ภายหลังเป็นที่ต่อมามีคนไปทำสกปรกหินเลยจมหายไป ภายหลังเป็นที่ปล่อยเต่า-ปลา มีเต่าใหญ่ ๆ ปลาใหญ่ ๆ มากปัจจุบัน ถูกถมเป็นที่สร้างเป็นอาคารพานิชซึ่งตรงข้าม ร.ร.สวนกุหลาบฝั่งวัดขณะนี้ พลางตั้งสัตย์อธิษฐานว่า "หากศีลจารวัตรของข้าพเจ้ายังบริสุทธิ์อยู่ ขอให้มีดโต้เล่มนี้จงลอยอยู่ผิวน้ำปรากฏแก่สายตาคนทั้งหลาย หากข้าพเจ้าวิบัติโดยศีลจารวัตรแล้ว ก็ขอให้มีดเล่มนี้จงจมลงในน้ำนี้ตามสภาพเถิด" อธิษฐานแล้วท่านก็โยนมีดลงไป ปรากฏเป็นที่มหัศจรรย์ยิ่ง เพราะมีดเล่มนั้นลอยน้ำประจักษ์แก่สายตาของประชาชนทั่วไปที่มุ่งดูอยู่ในที่นั้น

ด้วยความมหัศจรรย์นี้ ทำให้กิตติศัพท์ของท่านขจรไปอย่างรวดเร็ว ว่าท่านมีศีลาจารวัตรบริสุทธิ์จริง ๆ ประชาชนเกิดความเลื่อมใสศรัทธา ถึงกับขนานนาม ท่านว่า "ขรัวอีโต้ลอยน้ำ" เมื่อท่านแสดงความบริสุทธิ์ให้ปรากฏดังนั้นแล้ว จึงเป็นที่เคารพนับถือของปวงชนทั่วไปตลอด จนกระทั่งเจ้านายชั้นผู้ใหญ่ จนสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกพระราชทานสมณศักดิ์ที่ "สมเด็จพระศรีสมโพธิราชครู" แต่ประชาชนยังเรียกท่านว่า หลวงพ่อขรัวอีโต้ และสืบปากคำต่อกันมาจนปัจจุบันนี้ ในสมัยพระพุทธเลิศนภาลัย สมเด็จพระศรีสมโพธิราชครูได้ทิ้งผลงาน ที่ท่านสร้างไว้คือ พระเครื่องขนาดเล็กที่เรียกว่า "พระขรัวอีโต้ลอยน้ำ" ปรากฏหลักฐานการสร้างในจารึกแผ่นทอง

การขุดพบพระขรัวอีโต้
พระกรุนี้แตกออกมาด้วยการถูกขุดเจาะประมาณปี พ.ศ.2475 ขณะมีการสร้างสะพานพระพุทธยอดฟ้าแต่มีจำนวนไม่มากนัก จนกระทั่ง พ.ศ.2486 สงครามกำลังถึงจุดเดือด สัมพันธมิตรนำเครื่องบินมาทิ้งระเบิดถล่มสะพานพุทธฯ และโรงไฟฟ้าวัดเลียบจึงหลงมาถล่มลงที่พระอุโบสถน์และลานวัดจนเจดีย์ทะลาย พระชุดนี้จึงทะลักออกมาเป็นจำนวนมาก

พุทธลักษณะ
เป็นพระพุทธประทับนั่งมารวิชัยอยู่ในทรงกรอบรูปเล็บมือปลายแหลมรองรับด้วยบานเส้นลวดเกลี้ยงสองชั้นและซุ้มกรอบด้านนอกก็เป็นซุ้มเส้นลวดเกลี้ยงเช่นกัน เป็นพระเนื้อดินผสมผงลงรักปิดทองมาแต่ในกรุอย่างงดงาม ของปลอมเป็นพระถอดพิมพ์จึงหดและฝ่อกว่าของจริง รักทองก็สดใหม่แม้จะมีการแช่ด่างทับทิมเพื่อให้ดูหม่นเก่า


 
ราคาปัจจุบัน :     7,050 บาท
เพิ่มขึ้นครั้งละ :     100 บาท

!!! ปิดประมูลแล้ว !!!

ผู้ชนะประมูล    nhoojoke (140)

 

Copyright ©G-PRA.COM