(0)
ขุบทองคําแท้ อ.จ. นอง อ.จ.ทอง ท่านฉิ้น และเกจิดัง 5 ท่าน (6 รายละเอียด เตารีดรุ่น 1 วัดเมืองยะลา-ว้ดช้างให้ ปี39 เนื้อทองทิพย์ ขุบทองคําแท้ อ.จ. นอง และเกจิดัง 8 ท่าน พิธีใหญ่ เกจิดังๆหลายท่านเช่น ท่า








รายงานผลโหวต

จากรูปพระแท้ 0% [0]
จากรูปพระแท้แต่ข้อมูลไม่ถูกต้อง     0% [0]
จากรูปพระเก๊ 0% [0]
พระดูยากจากรูป 0% [0]

จำนวน โหวต



ชื่อพระเครื่องขุบทองคําแท้ อ.จ. นอง อ.จ.ทอง ท่านฉิ้น และเกจิดัง 5 ท่าน (6 รายละเอียด เตารีดรุ่น 1 วัดเมืองยะลา-ว้ดช้างให้ ปี39 เนื้อทองทิพย์ ขุบทองคําแท้ อ.จ. นอง และเกจิดัง 8 ท่าน พิธีใหญ่ เกจิดังๆหลายท่านเช่น ท่า
รายละเอียดขุบทองคําแท้ อ.จ. นอง อ.จ.ทอง ท่านฉิ้น และเกจิดัง 5 ท่าน (6 รายละเอียด เตารีดรุ่น 1 วัดเมืองยะลา-ว้ดช้างให้ ปี39 เนื้อทองทิพย์ ขุบทองคําแท้ อ.จ. นอง และเกจิดัง 8 ท่าน พิธีใหญ่ เกจิดังๆหลายท่านเช่น ท่านนอง ท่านทอง ท่านฉิ้น เคาะเดียวมีกล่องให้ปลุกเสกพิธีใหญ่เกจิสายใต้สมัยปี39เกจิ8ท่านรุ่นเฃิ้นเจิ่งคนตกเครื่องบินปี40แล้วไม่ตาย2คนเรื่องเดียวกับสีกาอ่างไทยรัฐเขียนไว้แต่ไม่ตรงอาจารย์บอกว่ามีคนตกเครื่องบินที่จีนแดงไม่ตาย2คนคนแรกเป็นผู้ชายใส่หลวงปู่ทวดเนื่อว่านพิมพ์ใหญ่คนที่2เป็นผู้หญิงใส่หลวงปู่ทวดเนื่อว่านพิมพ์เล็กพิธีเดียวกันกับเหรียญองค์นี้ปี39ปลุกเสกสมัยนั้นเป็นพิธีใหญ่พิธีเดียวรุ่นเดียวกับเตารีดรุ่น1วัดเมืองยะลาที่มีประสพการณ์ปี50รถตู้โดยสารหาดใหญ่ยะลาโดนลอบยิงมีคนตายหลายคนเป็นมีคนที่ใส่เตารีดทองทิพย์ปี39รอดมาได้
พระชุดนี้มาจากวัดโดยตรงมีกล่องพระปี39


ข่าวจากทางใต้ปี50รถตู้โดยสารยะลาหาดใหญ่โดนลอบยิงที่มีคนโดยสารตาย 8 คนแต่มีคนรอดได้สวมใส่หลวงปู่ทวดวัดเมืองยะลาปี39เตารีดเนื้อทองทิพย์พิธีเดียวกันกับองค์นี้แต่วัดไปชุบทอง
ราคาเปิดประมูล590 บาท
ราคาปัจจุบัน-- ยังไม่มีผู้เสนอราคา -- (!!! ปิดประมูลแล้ว !!!)
เพิ่มขึ้นครั้งละ10 บาท
วันเปิดประมูล - 09 มิ.ย. 2554 - 14:39:38 น.
วันปิดประมูล - 19 มิ.ย. 2554 - 14:39:38 น. (ปิดประมูลแล้ว)
ผู้ตั้งประมูลsomkiatthornburi (13.9K)


(0)
ข้อมูลเพิ่มเติม 1 - 09 มิ.ย. 2554 - 14:41:18 น.



พร้อมกล่องพระ
คนเก่าแก่เล่าให้ฟังว่า20ปีก่อนเคยไปอยู่ในกุฎิอาจารย์นองปลุกเสกตระกรุดลูกปืนท่านสามารถใช้กระแสจิตทำให้ปลอกกระสุนอัดเข้าหาตระกรุดกันเองมีคนเคยเห็นมากมาย
อาจารย์แดงปลุกเสกจะดังมากรุ่นเสิ้นเจ้นคนแขวนพระท่านตกเครื่องบินที่จีนแดงแล้วไม่ตายมาแล้วครับ
ส่วนอาจารย์ทองปลุกเสกแมงปอไม้บินได้ดังมากๆและปลุกเสกเหรียญกระโดดออกจากบาตรพระประจำเลยหลวงพ่อจะแอบเก็บเอาไว้ไว้แจกคนที่ไปเยี่ยมโดยไม่ไห้กรรมการรู้ตระกรุดอาจารย์ทององค์ละสามพันห้าแพงมากส่วนท่านฉิ่น วัดเมืองยะลา ปลุกเสก โดยเฉพาะท่านฉิ่น ไม่ค่อยมีคนรู้ว่า กสิณท่านเข้มแข็งมาก ท่านเคยปลุกเสกพระที่จ.ภูเก็ต เป็นที่ล่ำลือในหมู่ลูกศิษย์สายใต้ว่า ในพิธีนั้นมีหลวงพี่ที่สนิทกับท่านฉิ่น ได้ทักท่านว่าท่านเป็นประธานในพิธี ช่วยแสดงพลังพุทธคุณให้ดูเป็นขวัญตา ในพิธีนั้น ขณะปลุกเสก เกิดไฟดับทั้งวัด เป็นที่กล่าวขวัญอย่างมาก ลูกน้องผมเป็นเพื่อนสนิทกับหลวงพี่รูปนั้น ถึงกับกล่าวว่า ฉันไม่น่าปากบอนเลย พระนี้หากท่านได้ไปขอให้สบายใจได้ว่า ศักดิ์สิทธิ์ดั่งเช่น สายใต้วัดช้างไห้ทั้งหลาย จะหารวมเกจิสายใต้ในพิธืเดืยวกันนั้นยากมาก
นอกจากนี้ พระของท่านฉิ่นยังมีประสบการณ์ล่าสุด เมื่อเร็วๆนี้ ที่จ.ภาคใต้ มีทหารเกณฑ์พกพระท่านฉิ่นปลุกเสกปี 48 เดินไปผ่านกับระเบิดแต่ไม่ระเบิด พอเดินคล้อยหลังไป ระเบิดจึงระเบิดขึ้นโดนทหารข้างหลัง ทหารเกณฑ์คนนั้นตกใจมาก ไม่กล้าพูดอะไร หลังจากกลับบ้านที่อีสาน ไปเล่าให้แม่ฟัง แม่ของทหารเกณฑ์ท่านนั้นได้โทรมาเล่าให้ท่านเจ้าอาวาสวัดในกรุงเทพ ที่สนิทเป็นศิษย์ผู้น้องกับท่านฉิ่นฟัง เรื่องจริงๆไม่ได้โม้
ปล่อยพระให้สายใต้วัดเมืองยะลา-วัดช้างไห้ตั้งนานลืมเล่าท่านที่ไม่รู้ประวัติ
ในตำนานหลวงปู่ทวดเหยียบน้ำทะเลจืดนั้นอาจารย์ทิมท่านเป็นคนแรกที่ได้นิมิตถึงหลวงปู้ทวดๆท่านได้เข้าฝันเและได้ถ่ายทอดพิธีการปลุกเสกหลวงปู่ทวดจนโด่งดังมีพุทธคุณมากมาย
ท่านอาจารย์ทิมท่านมีศิษย์พี่น้องอยู่3ท่านศิษย์น้องคนกลางคืออาจารย์นองแห่งวัดทรายขาวผู้โด่งดังนั้นเองพระของท่านเล่นหาราคาไม่เคยตกมีแต่แพงขึ้นๆ
ส่วนศิษย์น้องคนเล็กก็คือท่านฉิ้นเจ้าคณะจังหวัดวัดเมืองยะลาองค์ปัจจุบันที่ได้รับการถ่ายทอดการปลุกเสกมาเข่นกัน พระของท่านก็มีประสพการณ์มากมายมีผู้ยืนยันได้หลายท่านเพียงแต่วัดไม่ชอบโปรโมต ข่าวล่าสุดจากภาคใต้รถตู้ที่นางกำนัลในวังที่ถูกกราดยิงแล้วแคล้วคลาด คนไม่เป็นไรปรากฎว่าบูชาพระหลวงปู่ทวดวัดเมืองยะลาว่านดำปี47
พ่อท่านฉิ้นปลุกเสกล่าสุดมีประสพการณ์รถตู้คันที่นางกำนัลนางสนองพระโอษฐ์ในสมเด็จพระราชีนีนั่งในรถโดนกราดยิงด้วยเอ็ม16เข้าเต็มๆคนนั่งปรากฎว่าคนปลอดภัยรถคันนี้บูชาพระรุ่นนี้ไว้ในรถและคุณหญิงก็แขวนพระองค์นี้ไว้ในคอพอข่าวปรากฎคนภาคใต้จึงหาเช่าบูขารุ่นนี้กันมากครับจนพระในพิธีนี้หมดภายในไม่กี่วันเป็นพันๆองค์มีคนขอเช่าที่คอคุณหญิงกันเลยทีเดียว
ประสพการณ์ล่าสุดคุณมงคล สาลีผลคนราษฎรบูรณะฝั่งธนมีคู่อริใล่ยิง 5 ครั้งไม่เคยยิงโดนตัวครั้งที่ 6 แอบจ่อยิงห่าง 1 เมตร 2 นัดเข้าไล่ขวาด้วยปืน .22 มม ปรากฎว่ายิงไม่เข้าคุณมงคลไปแจ้งความไว้ที่สถานีตำรวจช่วงหลังสงกรานต์โทรมาเล่าให้ที่วัดฟังว่าสวมใส่พระหลวงปู่ทวดเตารีดโลหะปี 47 กับตระกรุดพ่อท่านฉิ้นอง่ค์นี้คู่กันปี 47 พิธีเดียวกันผมบอกได้ว่าในรอบ 10 ปีรุ่นนี้อาจารย์ตั้งใจปลุกสกมากจึงมีประสพการณ์เร็วมากเชื่อได้ว่าพระพืธีนี้ขลังทุกพิมพ์รวมถีงว่านกลม 5 ชม ที่ดังก่อนเพื่อนครับ
ล่าขอล่าสุดข่าวจากทางใต้ปี50รถตู้โดยสารโดนลอบยิงที่มีคนโดยสารตายหลายคนแต่มีคนรอดได้สวมใส่หลวงปู่ทวดวัดเมืองยะลาปี39เตารีดเนื้อทองทิพย์ครับพิธีเดียวกันกับองค์นี้





ข้อมูลเพิ่มเติม 2 อา. - 16 พ.ค. 2553 - 19:51:36 น.


ท่านฉิ่น วัดเมืองยะลา ปลุกเสก โดยเฉพาะท่านฉิ่น ไม่ค่อยมีคนรู้ว่า กสิณท่านเข้มแข็งมาก ท่านเคยปลุกเสกพระที่จ.ภูเก็ต เป็นที่ล่ำลือในหมู่ลูกศิษย์สายใต้ว่า ในพิธีนั้นมีหลวงพี่ที่สนิทกับท่านฉิ่น ได้ทักท่านว่าท่านเป็นประธานในพิธี ช่วยแสดงพลังพุทธคุณให้ดูเป็นขวัญตา ในพิธีนั้น ขณะปลุกเสก เกิดไฟดับทั้งวัด เป็นที่กล่าวขวัญอย่างมาก ลูกน้องผมเป็นเพื่อนสนิทกับหลวงพี่รูปนั้น ถึงกับกล่าวว่า ฉันไม่น่าปากบอนเลย พระนี้หากท่านได้ไปขอให้สบายใจได้ว่า ศักดิ์สิทธิ์ดั่งเช่น สายใต้วัดช้างไห้ทั้งหลาย จะหารวมเกจิสายใต้ในพิธืเดืยวกันนั้นยากมาก
นอกจากนี้ พระของท่านฉิ่นยังมีประสบการณ์ล่าสุด เมื่อเร็วๆนี้ ที่จ.ภาคใต้ มีทหารเกณฑ์พกพระท่านฉิ่นปลุกเสกปี 48 เดินไปผ่านกับระเบิดแต่ไม่ระเบิด พอเดินคล้อยหลังไป ระเบิดจึงระเบิดขึ้นโดนทหารข้างหลัง ทหารเกณฑ์คนนั้นตกใจมาก ไม่กล้าพูดอะไร หลังจากกลับบ้านที่อีสาน ไปเล่าให้แม่ฟัง แม่ของทหารเกณฑ์ท่านนั้นได้โทรมาเล่าให้ท่านเจ้าอาวาสวัดในกรุงเทพ ที่สนิทเป็นศิษย์ผู้น้องกับท่านฉิ่นฟัง เรื่องจริงๆไม่ได้โม้
ปล่อยพระให้สายใต้วัดเมืองยะลา-วัดช้างไห้ตั้งนานลืมเล่าท่านที่ไม่รู้ประวัติ
ในตำนานหลวงปู่ทวดเหยียบน้ำทะเลจืดนั้นอาจารย์ทิมท่านเป็นคนแรกที่ได้นิมิตถึงหลวงปู้ทวดๆท่านได้เข้าฝันเและได้ถ่ายทอดพิธีการปลุกเสกหลวงปู่ทวดจนโด่งดังมีพุทธคุณมากมาย
ท่านอาจารย์ทิมท่านมีศิษย์พี่น้องอยู่3ท่านศิษย์น้องคนกลางคืออาจารย์นองแห่งวัดทรายขาวผู้โด่งดังนั้นเองพระของท่านเล่นหาราคาไม่เคยตกมีแต่แพงขึ้นๆ
ส่วนศิษย์น้องคนเล็กก็คือท่านฉิ้นเจ้าคณะจังหวัดวัดเมืองยะลาองค์ปัจจุบันที่ได้รับการถ่ายทอดการปลุกเสกมาเข่นกัน พระของท่านก็มีประสพการณ์มากมายมีผู้ยืนยันได้หลายท่านเพียงแต่วัดไม่ชอบโปรโมต

ข่าวล่าสุดจากภาคใต้รถตู้ที่นางกำนัลในวังที่ถูกกราดยิงแล้วแคล้วคลาด คนไม่เป็นไรปรากฎว่าบูชาพระหลวงปู่ทวดวัดเมืองยะลาว่านดำปี47พ่อท่านฉิ้นปลุกเสกไว้ในรถครับ
พ่อท่านฉิ้นปลุกเสกล่าสุดมีประสพการณ์รถตู้คันที่นางกำนัลนางสนองพระโอษฐ์ในสมเด็จพระราชีนีนั่งในรถโดนกราดยิงด้วยเอ็ม16เข้าเต็มๆคนนั่งปรากฎว่าคนปลอดภัยรถคันนี้บูชาพระรุ่นนี้ไว้ในรถและคุณหญิงก็แขวนพระองค์นี้ไว้ในคอพอข่าวปรากฎคนภาคใต้จึงหาเช่าบูขารุ่นนี้กันมากครับจนพระในพิธีนี้หมดภายในไม่กี่วันเป็นพันๆองค์มีคนขอเช่าที่คอคุณหญิงกันเลยทีเดียว
ประสพการณ์ล่าสุดคุณมงคล สาลีผลคนราษฎรบูรณะฝั่งธนมีคู่อริใล่ยิง 5 ครั้งไม่เคยยิงโดนตัวครั้งที่ 6 แอบจ่อยิงห่าง 1 เมตร 2 นัดเข้าไล่ขวาด้วยปืน .22 มม ปรากฎว่ายิงไม่เข้าคุณมงคลไปแจ้งความไว้ที่สถานีตำรวจช่วงหลังสงกรานต์โทรมาเล่าให้ที่วัดฟังว่าสวมใส่พระหลวงปู่ทวดเตารีดโลหะปี 47 กับตระกรุดพ่อท่านฉิ้นอง่ค์นี้คู่กันปี 47 พิธีเดียวกันผมบอกได้ว่าในรอบ 10 ปีรุ่นนี้อาจารย์ตั้งใจปลุกสกมากจึงมีประสพการณ์เร็วมากเชื่อได้ว่าพระพืธีนี้ขลังทุกพิมพ์รวมถีงว่านกลม 5 ชม ที่ดังก่อนเพื่อนครับ
ล่าขอล่าสุดข่าวจากทางใต้ปี50รถตู้โดยสารโดนลอบยิงที่มีคนโดยสารตายหลายคนแต่มีคนรอดได้สวมใส่หลวงปู่ทวดวัดเมืองยะลาปี39เตารีดเนื้อทองทิพย์ครับ





ข้อมูลเพิ่มเติม 2 พ. - 31 มี.ค. 2553 - 09:39:46 น.


พระธรรมสิทธิมงคล (หลวงพ่อฉิ้น โชติโก) เจ้าอาวาสวัดเมืองยะลา และเจ้าคณะจังหวัดยะลา ผู้เป็นแม่ทัพธรรมค้ำจุนพระพุทธศาสนา เสริมสร้างสันติสุข ให้กลับคืนสู่ดินแดนด้ามขวานทอง
อัตโนประวัติ พระธรรมสิทธิมงคล
มีนามเดิม ฉิ้น ทองกาวแก้ว ถือกำเนิดเมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 2469 ณ บ้านเลขที่ 129 หมู่ 1 ต.วัดสน อ.ระโนด จ.สงขลา
ชีวิตในวัยเยาว์ เมื่ออายุได้ 12 ปี ได้เข้าศึกษาในโรงเรียนวัดสามบ่อ ต.วัดสน อ.ระโนด จ.สงขลา แต่พอเรียนจบชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ไม่สามารถเรียนต่อในระดับที่สูงได้ เนื่องจากฐานะทางบ้านที่ค่อนข้างยากจน มีภาระต้องใช้จ่ายมาก ด้วยมีใจใฝ่ศึกษาหาความรู้เสริมเป็นมงคลชีวิต ทำให้ท่านเบนเข็มชีวิต สละชีวิตทางโลก มุ่งสู่ร่มธรรมแห่งผ้ากาสาวพัสตร์ ออกบรรพชาเป็นสามเณร ณ พัทธสีมาวัดสามบ่อ ต.วัดสน อ.ระโนด จ.สงขลา เมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ.2485 โดยมีพระครูปทุมธรรมธารี เจ้าอาวาสวัดสามบ่อ เป็นพระอุปัชฌาย์
ภายหลังบรรพชาเป็นสามเณร ท่านได้เริ่มต้นศึกษาพระปริยัติธรรมจนสามารถสอบได้นักธรรมชั้นตรี ในสำนักเรียนจังหวัดสงขลา พ.ศ.2486 สอบได้นักธรรมชั้นโท
พ.ศ.2488 ออกเดินทางไปศึกษาที่วัดพุทธภูมิ อ.เมืองจ.ยะลา จนกระทั่ง อายุครบ 21 ปี จึงได้เดินทางกลับภูมิลำเนาเดิม เพื่ออุปสมบทเป็นพระภิกษุ เมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ.2490 ณ พัทธสีมาวัดสามบ่อ ต.วัดสน อ.ระโนด จ.สงขลา โดยมีพระครูปทุมธรรมธารี เป็นพระอุปัชฌาย์ และพระอธิการคำ วัดสน เป็นพระกรรมวาจาจารย์ ได้รับฉายาว่า โชติโก แปลว่า ผู้มีธรรมอันเจริญรุ่งเรือง
หลังอุปสมบท ท่านได้เดินทางกลับมาศึกษาเล่าเรียนอยู่จำพรรษาที่วัดพุทธภูมิดังเดิม พ.ศ.2492 สอบได้เปรียญธรรม 3 ประโยค พ.ศ.2494 สอบได้นักธรรมชั้นเอก จากสำนักวัดพุทธภูมิ อ.เมือง จ.ยะลา พ.ศ.2498 สอบได้เปรียญธรรม 5 จากสำนักวัดพุทธภูมิ อ.เมือง จ.ยะลา
ลำดับงานการปกครอง
พ.ศ.2507 ได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดเมืองยะลา พ.ศ.2528 เป็นเจ้าคณะอำเภอเบตง-ธารโต พ.ศ.2539 รักษาการแทนเจ้าคณะจังหวัดยะลา
พ.ศ.2541 ได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าคณะจังหวัดยะลา ผลงานด้านการศึกษาสงฆ์
พ.ศ.2509 เปิดสำนักเรียนพระปริยัติธรรมพระภิกษุ-สามเณร พ.ศ.2522 อนุญาตให้เทศบาลนครยะลา ตั้งโรงเรียนเทศบาล 6 ในที่ดินวัดเมืองยะลา พ.ศ.2537 ตั้งศูนย์พุทธศาสนาวันอาทิตย์
พ.ศ.2538 ดตั้งโรงเรียนปริยัติธรรม แผนกสามัญ ในวัดเมืองยะลา เพื่อให้พระภิกษุ-สามเณร ได้ศึกษาทั้งทางโลกและทางธรรม รวมทั้ง จัดตั้งศูนย์อบรมเด็กก่อนเกณฑ์ วัดเมืองยะลา ดำเนินการสร้างวัดเมืองยะลา โดยรัฐบาลได้อนุมัติที่ดินราชพัสดุ เป็นที่ก่อสร้างวัดเมืองยะลา เสร็จสมบูรณ์ในปี พ.ศ2506


** หลังจากวัดสร้างเสร็จได้รับตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดเมืองยะลา **
พระเทพศีลวิสุทธิ์ มีแนวคิดให้วัดเป็นส่วนสำคัญในการช่วยสังคมอย่างเป็นรูปธรรม นอกจากการให้ความรู้อบรมสั่งสอนธรรมะ ชี้แนวทางการดำเนินชีวิตแล้ว แนวทางที่จะช่วยสังคมอย่างชัดเจน คือ ช่วยเหลือด้านการศึกษา
ด้วยท่านเป็นธุระกับการจัดการศึกษาอย่างแข็งขัน มีการมอบทุนการศึกษาให้กับนักเรียนนักศึกษา เพื่อให้โอกาสแก่นักเรียนนักศึกษา ที่มีปัญหาเรื่องเงินทุน ขาดแคลนทุนทรัพย์ แต่มีความตั้งใจที่จะศึกษาเล่าเรียน ทุกระดับชั้นในระดับอนุบาลถึงระดับปริญญา ตั้งแต่ปีพ.ศ.2522 ถึงปัจจุบัน
สำหรับเงินทุนที่ท่านจัดไว้เพื่อบริจาคนั้นเป็นเงินที่ญาติโยมถวายในโอกาสต่างๆ และอีกส่วนหนึ่งมาจากการบริจาคสมทบของผู้มีจิตศรัทธา
นอกจากนี้ ได้มีแนวคิดโครงการจัดตั้งมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตชายแดนภาคใต้ เพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษาของคณะสงฆ์ให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น ตามกระบวนการไตรสิกขา และเพื่อเสริมสร้างความมั่นคงเป็นปึกแผ่นให้พระพุทธศาสนา เพื่อนำหลักธรรมที่ถูกต้องไปเผยแผ่สู่ประชาชน สร้างความร่มเย็นเป็นสุขในชีวิตและสังคม
รวมทั้งเป็นการสร้างโอกาสให้เยาวชนที่ด้อยโอกาสได้รับการศึกษาเป็นการยกระดับคุณภาพชีวิตให้สูงขึ้นชาติจะมั่นคงขึ้นได้อนาคตของชาติจะต้องมีการศึกษา

ลำดับสมณศักดิ์
พ.ศ.2509 เป็นพระครูปลัดฐานานุกรมของพระราชปัญญาเมธี เจ้าคณะจังหวัดยะลา พ.ศ.2511 เป็นพระครูสัญญาบัตรชั้นพิเศษที่ พระครูไพโรจน์ธรรมรัต พ.ศ.2535 เป็นพระครูสัญญาบัตรชั้นพิเศษที่ พระครูวิเทศสมันตพิทักษ์ พ.ศ.2539 ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์ เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญที่ พระไพศาลประชานารถ (รักษาการเจ้าคณะจังหวัดยะลา)
พ.ศ.2545 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ เลื่อนสมณศักดิ์ เป็นพระราชาคณะชั้นราชที่ พระราชปัญญาโสภณ
พ.ศ.2547 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ เลื่อนสมณศักดิ์ เป็นพระราชาคณะชั้นเทพที่ พระเทพศีลวิสุทธิ์
ล่าสุด ในปี พ.ศ.2550 ในวโรกาสพระราชพิธีฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ เลื่อนสมณศักดิ์ เป็นพระราชาคณะชั้นธรรมที่ พระธรรมสิทธิมงคล สร้างความปีติยินดีต่อพุทธศาสนิกชนชาวยะลาเป็นอย่างยิ่ง

ปัจจุบัน หลวงพ่อฉิ้น โชติโก สิริอายุ 81 พรรษา 61 (เมื่อปี พ.ศ.2550) ยังคงมีสุขภาพพลานามัยแข็งแรง


สำหรับแนวทางที่ใช้ในการแก้ปัญหาไฟใต้ พระธรรมสิทธิมงคล มีดำริว่า “การศึกษาสามารถเยียวยาปัญหาไฟใต้ได้ในระดับหนึ่ง เพราะการศึกษาทำให้เกิดความรู้ ความรู้ทำให้เกิดความสามารถ ความสามารถทำให้เกิดความสามัคคี ความสามัคคีทำให้เกิดความสงบสุข เรียนรู้ รับรู้ ถ้าไม่เรียนรู้ รับรู้ ไม่สามารถแก้ปัญหาได้ วิธีแก้ปัญหา ปลุก ปรับ ปลอบ ต้องดูว่าความเดือดร้อนอยู่ตรงไหน ต้องรู้มูลเหตุ”


“การแก้ปัญหาปากกับใจต้องตรงกัน ถือสัจจะเป็นสำคัญ คนที่ไม่ควรนำมาแก้ปัญหา คือคนที่ไม่รู้สภาพของปัญหา คนโกง และอย่าแก้ปัญหาโดยใช้เงิน”


“การศึกษาทำให้คนมีปัญญา เมื่อคนเกิดปัญญาย่อมเข้าใจในปัญหา แก้ปัญหาได้สำเร็จ ทำให้แผ่นดินภาคใต้สงบสันติ อยู่ร่วมกันได้ในสังคม แม้จะนับถือศาสนาแตกต่างกันบ้าง แต่มิใช่อุปสรรค เพราะทุกคนเป็นคนไทยด้วยกัน”
พ่อท่านฉิ้นผู้ร่วมสร้างตำนานพระหลวงปู่ทวด เนื้อว่าน ปี 2497
ศิษย์ผู้น้องพระอาจารย์ทิม วัดช้างไห้ หนึ่งเดียวที่ยังมีขีวิตอยู่
ปลุกเศกครบถ้วนตามตำราการสร้างพระหลวงปู่ทวด
ของดีของจริง





ข้อมูลเพิ่มเติม 2 อ. - 01 มี.ค. 2554 - 13:21:16 น.


ประวัติ หลวงปู่ทวด เหยียบน้ำทะเลจืด วัดช้างให้


สมเด็จเจ้าพะโคะหรือหลวงพ่อทวด เป็นที่รู้จักของชาวไทยทุกภูมิภาคในฐานะพระศักดิ์สิทธิ์ที่มีอิทธิปาฏิหาริย์และอภิญญาแก่กล้าจนได้สมญาว่า “หลวงปู่ทวดเหยียบน้ำทะเลจืด” ประวัติอันพิสดารของท่านมีเล่าสืบกันมาไม่รู้จบสิ้น ยิ่งนานวันยิ่งซับซ้อนและขยายวงกว้างออกไปกลายเป็นความเชื่อความศรัทธาอย่างฝังใจ

หลวงพ่อทวดเป็นบุคคลที่มีตัวตนจริงๆ เรื่องราวต่อไปนี้ผู้เขียนได้รวบรวมจากหนังสืออ้างอิงหลายเล่มทั้งที่เป็นตำนานหลักฐานทางประวัติศาสตร์ หนังสือและเอกสารต่างๆ พอจะให้ท่านผู้อ่านได้ทราบว่า หลวงพ่อทวดคือใคร เกิดในสมัยใดและได้สร้างคุณประโยชน์แก่ประเทศชาติและพระศาสนาไว้อย่างไรบ้าง เพื่อเป็นคติเตือนใจแก่อนุชนรุ่นหลังสืบไป







ทารกอัศจรรย์

เมื่อประมาณสี่ร้อยปีที่ผ่านมาในตอนปลายรัชสมัยของพระมหาธรรมราชา แห่งกรุงศรีอยุธยา ณ หมู่บ้านสวนจันทร์ ตำบลชุมพล เมืองจะทิ้งพระตรงกับวันศุกร์ เดือนสี่ ปีมะโรง พุทธศักราช 2125 ได้มีทารกเพศชายผู้หนึ่งถือกำเนิดจากครอบครัวเล็กๆ ฐานะยากจนแร้นแค้น แต่มีจิตอันเป็นกุศล ชอบทำบุญสุนทานยึดมั่นในศีลธรรมอันดี ปราศจากการเบียดเบียนมนุษย์และสัตว์ทั้งหลาย ทารกน้อยผู้

นี้มีนายว่า “ปู” เป็นบุตรของนายหู นางจันทร์ ในขณะเยาว์วัย ทารกผู้นั้นยังความอัศจรรย์ให้แก่บิดามารดาตลอดจนญาติพี่น้องทั้งหลาย ด้วยอยู่มาวันหนึ่งมีงูตระบองสลาตัวใหญ่มาขดพันอยู่รอบเปลที่ทารกน้อยนอนหลับอยู่ และงูใหญ่ตัวนั้นไม่ยอมให้ใครเข้ามาใกล้เปลที่ทารกน้อยนอนอยู่เลย จนกระทั่งบิดามารดาของเด็กเกิดความสงสัยว่า พญางูตัวนั้นน่าจะเป็นเทพยดาแปลงมาเพื่อให้เห็นเป็นอัศจรรย์ในบารมีของลูกเราเป็นแน่แท้ จึงรีบหาข้าวตอกดอกไม้และธูปเทียนมาบูชาสักการะ งูใหญ่จึงคลายลำตัวออกจากเปลน้อย เลื้อยหายไป ต่อมาเมื่อพญางูจากไปแล้ว บิดามารดาทั้งญาติต่างพากันมาที่เปลด้วยความห่วงใยทารก ก็ปรากฏว่าเด็กชายปูยังคงนอนหลับอยู่เป็นปกติ แต่เหนือทรวงอกของทารกกลับมีดวงแก้วดวงหนึ่งมีแสงรุ่งเรืองเป็นรัศมีหลากสี ตาหู นางจันทร์จึงเก็บรักษาไว้ นับแต่บัดนั้นฐานะความเป็นอยู่การทำมาหากินก็จำเริญรุ่งเรืองขึ้นเป็นลำดับอยู่สุขสบายตลอดมา

สามีราโม

เมื่อกาลล่วงมานานจนเด็กชายปูอายุได้เจ็ดขวบ บิดาได้นำไปฝากสมภารจวง วัดกุฏิหลวง (วัดดีหลวง) เพื่อให้เล่าเรียนหนังสือเด็กชายปูมีความเฉลียวฉลาดมาก สามารถเรียนหนังสือขอมและไทยได้อย่างรวดเร็ว ครั้นอายุได้ 15 ปี ก็บรรพชาเป็นสามเณรและบิดาได้มอบแก้ววิเศษไว้เป็นของประจำตัว ต่อมาสามเณรปูได้ไปศึกษาต่อกับสมเด็จพระชินเสน ที่วัดสีหยัง (สีคูยัง) ครั้นอายุครบอุปสมบทจึงได้เดินทางไปศึกษาต่อที่นครศรีธรรมราช ณ สำนักพระมหาเถระปิยทัสสี ได้ทำการอุปสมบทมีฉายาว่า “ราโม ธมฺมิโก” แต่คนทั่วไปเรียกท่านว่า “เจ้าสามีราม” หรือ “เจ้าสามีราโม” เจ้าสามีรามได้ศึกษาอยู่ที่วัดท่าแพ วัดสีมาเมือง และวัดอื่นๆ อีกหลายวัด เมื่อเห็นว่าการศึกษาที่นครศรีธรรมราชเพียงพอแล้วจึงขอโดยสารเรือสำเภาเดินทางไปกรุงศรีอยุธยา ขณะเดินทางถึงเมืองชุมพร เกิดคลื่นทะเลปั่นป่วน เรือไม่สามารถแล่นฝ่าคลื่นลมไปได้ต้องทอดสมออยู่ถึงเจ็ดวัน ทำให้เสบียงอาหารและน้ำหมดบรรดาลูกเรือตั้งข้อสงสัยว่าการที่เกิดเหตุอาเพศในครั้งนี้เพราะเจ้าสามีราม จึงตกลงใจให้ส่งเจ้าสามีรามขึ้นเกาะและได้นิมนต์ให้เจ้าสามีรามลงเรือมาด ขณะที่นั่งอยู่ในเรือมาดนั้น ท่านได้ห้อยเท้าแช่ลงไปในทะเลก็บังเกิดอัศจรรย์น้ำทะเลบริเวณนั้นเป็นประกายแวววาวโชติช่วง

เจ้าสามีรามจึงบอกให้ลูกเรือตักน้ำขึ้นมาดื่มก็รู้สึกว่าเป็นน้ำจืด จึงช่วยกันตักไว้จนเพียงพอ นายสำเภาจึงนิมนต์ให้ท่านขึ้นสำเภาอีก และตั้งแต่นั้นมาเจ้าสามีรามก็เป็นชีต้นหรืออาจารย์สืบมา

เมื่อถึงกรุงศรีอยุธยา ก็ได้ไปพำนักอยู่ที่วัดแค ศึกษาธรรมะที่ วัดลุมพลีนาวาส ต่อมาได้ไปพำนักอยู่ที่วัดของสมเด็จพระสังฆราช ได้ศึกษาธรรมและภาษาบาลี ณ ที่นั้นจนเชี่ยวชาญจึงทูลลาสมเด็จพระสังฆราชไปจำพรรษาที่วัดราชนุวาส เมื่อประมาณ พ.ศ. 2149 ตรงกับรัชสมัยของสมเด็จพระเอกาทศรถ





รบด้วยปัญญา

กระทั่งวันหนึ่งถึงกาลเวลาที่ชื่อเสียงของหลวงปู่ทวดหรือเจ้าสามีรามจะระบือลือลั่นไปทั่วกรุงสยาม จึงได้มีเหตุพิสดารอุบัติขึ้นในรัชสมัยของพระเอกาทศรถ กล่าวคือ สมัยนั้นพระเจ้าวัฏฏะคามินี แห่งประเทศลังกา ซึ่งเคยเป็นเมืองขึ้นของอาณาจักรแหลมทองทางภาคใต้ คิดแก้มือด้วยการท้าพนันแปลธรรมะ และต้องการจะแผ่พระบรมเดชานุภาพมาทางแหลมทอง ใคร่จะได้กรุงศรีอยุธยามาเป็นประเทศราช แต่พระองค์ไม่ปรารถนาให้เกิดศึกสงครามเสียชีวิตแก่ประชาชนทั้งสองฝ่าย จึงทรงวางแผนการเมืองด้วยสันติวิธี คิดหาทางรวบรัดเอากรุงศรีอยุธยาเป็นเมืองขึ้นด้วยสติปัญญาเป็นสำคัญ เมื่อคิดได้ดังนั้น พระเจ้ากรุงลังกาจึงมีพระบรมราชโองการสั่งให้พนักงาน ท้องพระคลังเบิกจ่ายทองคำบริสุทธิ์แล้วให้ช่างทองประจำราชสำนักไปหล่อ ทองคำเหล่านั้นให้เป็นตัวอักษรบาลีเล็กเท่าใบมะขาม ตามพระอภิธรรมทั้งเจ็ดคัมภีร์ จำนวน 84,000 ตัว จากนั้นก็ทรงรับสั่งให้พราหมณ์ผู้เฒ่าอันมีฐานะเทียบเท่าปุโรหิตจำนวนเจ็ดท่านคุมเรืองสำเภาเจ็ดลำบรรทุกเสื้อผ้าแพรพรรณ และของมีค่าออกเดินทางมายังกรุงศรีอยุธยาพร้อมกับปริศนาธรรมของพระองค์

เมื่อพราหมณ์ทั้งเจ็ดเดินทางลุล่วงมาถึงกรุงสยามแล้วก็เข้าเฝ้าถวายพระราชสาส์นของกษัตริย์ตนแก่พระเจ้าเอกาทศรถ มีใจความในพระราชสาส์นว่าพระเจ้ากรุงลังกาขอท้าให้พระเจ้ากรุงสยามทรงแปลและเรียบเรียงเมล็ดทองคำตามลำดับให้เสร็จภายในกำหนดเจ็ดวันนับแต่วันที่ได้รับพระราชสาส์นนี้เป็นต้นไป ถ้าทรงกระทำไม่สำเร็จตามสัญญาก็จะยึดกรุงศรีอยุธยาให้อยู่ใต้พระบรมเดชานุภาพของพระองค์ และทางกรุงสยามจะต้องส่งดอกไม้เงินดอกไม้ทองอีกทั้งเครื่องราชบรรณาการแก่กรุงลังกาตลอดไปทุกๆ ปีเยี่ยงประเทศราชทั้งหลาย

พระสุบินนิมิต


เมื่อพระเอกาทศรถทรงทราบความ ดังนั้น จึงมีพระบรมราชโองการให้สังฆการีเขียนประกาศนิมนต์พระราชาคณะและพระเถระทั่วพระมหานคร ให้กระทำหน้าที่เรียบเรียงและแปลตัวอักษรทองคำในครั้งนี้ แต่ก็ไม่มีท่านผู้ใดสามารถเรียบเรียงและแปลอักษรทองคำในครั้งนี้ได้จนกาลเวลาลุล่วงผ่านไปได้หกวัน ยังความปริวิตกแก่พระองค์และไพร่ฟ้าประชาชนต่างพากันโจษขานถึงเรื่องนี้ให้อื้ออึงไปหมด

ครั้นราตรีกาลยามหนึ่งที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเข้าพระบรรทมทรงสุบินว่า ได้มีพระยาช้างเผือกลักษณะบริบูรณ์เฉกเช่นพระยาคชสารเชือกหนึ่ง ผายผันมาจากทางทิศตะวันตก เยื้องย่างเข้ามาในพระราชนิเวศน์แล้วก้าวเข้าไปยืนผงาดตระหง่านบนพระแท่นพลางเปล่งเสียงโกญจนาทกึกก้องไปทั่วทั้งสี่ทิศ เสียงที่โกญจนาทด้วยอำนาจของพระยาคชสารเชือกนั้นยังให้พระองค์ทรงสะดุ้งตื่นจากพระบรรทม

รุ่งเช้าเมื่อพระองค์เสด็จออกว่าราชการ ได้ทรงรับสั่งถึงพระสุบินนิมิตประหลาดให้โหรหลวงฟังและได้รับการกราบถวายบังคมทูลว่า เรื่องนี้หมายถึงชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ของพระองค์และพระบรมเดชานุภาพจะแผ่ไพศาลไปทั่วสารทิศเป็นที่เกรงขามแก่อริราชทั้งปวง ทั้งจะมีพระภิกษุหนุ่มรูปหนึ่งจากทางทิศตะวันตก มาช่วยขันอาสาแปลและเรียบเรียงตัวอักษรทองคำปริศนาได้สำเร็จ พระเจ้าอยู่หัวได้ฟังดังนั้นจึงค่อยเบาพระทัย และรับสั่งให้ข้าราชบริพารทั้งมวลออกตามหาพระภิกษุรูปนั้นทันที

อักษรเจ็ดตัว

ต่อมาสังฆการีได้พยายามเสาะแสวงหาจนไปพบ “เจ้าสามีราม” ที่วัดราชานุวาส และเมื่อได้ไต่ถามได้ความว่าท่านมาจากเมืองตะลุง (พัทลุงในปัจจุบัน) เพื่อศึกษาพระธรรมวินัย สังฆการี จึงเล่าความตามเป็นจริงให้เจ้าสามีรามฟังทั้งได้อ้างตอนท้ายว่า “เห็นจะมีท่านองค์เดียวที่ตรงกับพระสุบินของพระเจ้าอยู่หัว จึงใคร่ขอนิมนต์ให้ไปช่วยแก้ไขในเรื่องร้ายดังกล่าวให้กลายเป็นดี ณ โอกาสนี้” ครั้นแล้วเจ้าสามีรามก็ตามสังฆการีไปยังที่ประชุมสงฆ์ ณ ท้องพระโรง พระเจ้าอยู่หัวทรงมีรับสั่งให้พนักงานปูพรมให้ท่านนั่งในที่อันควร พราหมณ์ทั้งเจ็ดคนได้ประมาทเจ้าสามีรามโดยว่า เอาเด็กสอนคลานมาให้แก้ปริศนา เจ้าสามีรามก็แก้คำพราหมณ์ว่า กุมารเมื่ออกมาแต่ครรภ์พระมารดา กี่เดือนกี่วันจึงรู้คว่ำ กี่เดือนกี่วันจึงรู้นั่ง กี่เดือนกี่วันจึงรู้คลาน จะว่ารู้คว่ำแก่ หรือจะว่ารู้นั่งแก่ หรือจะว่ารู้คลานแก่ ทำไมจึงว่าเราจะแก้ปริศนาธรรมมิได้ พราหมณ์ก็นิ่งไปไม่สามารถตอบคำถามท่านได้ จากนั้นจึงรีบนำบาตรใส่อักษรทองคำเข้าไปประเคนแก่เจ้าสามีราม


ท่านรับประเคนมาจากมือพราหมณ์แล้วนั่งสงบจิตอธิษฐานว่า “ขออำนาจคุณบิดามารดาครูบาอาจารย์และอำนาจผลบุญกุศลที่ได้สร้างมาแต่ปางก่อนและอำนาจเทพยดาที่รักษาพระนครตลอดถึงเทวดาอารักษ์ศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ครั้งนี้อาตมาจะแปลพระธรรมช่วยกู้บ้านกู้เมือง ขอให้ช่วยดลบันดาลจิตใจให้สว่างแจ้งขจัดอุปสรรคที่จะมาขัดขวาง ขอให้แปลพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าสำเร็จสมปรารถนาเถิด” ท่านรับประเคนมาจากมือพราหมณ์แล้วนั่งสงบจิตอธิษฐานว่า “ขออำนาจคุณบิดามารดาครูบาอาจารย์และอำนาจผลบุญกุศลที่ได้สร้างมาแต่ปางก่อนและอำนาจเทพยดาที่รักษาพระนครตลอดถึงเทวดาอารักษ์ศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ครั้งนี้อาตมาจะแปลพระธรรมช่วยกู้บ้านกู้เมือง ขอให้ช่วยดลบันดาลจิตใจให้สว่างแจ้งขจัดอุปสรรคที่จะมาขัดขวาง ขอให้แปลพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าสำเร็จสมปรารถนาเถิด”

ครั้นแล้วท่านก็คว่ำบาตรเทอักษรทองคำเริ่มแปลปริศนาธรรมทันที ด้วยอำนาจบุญญาบารมี กฤษดาภินิหารของท่านที่ได้จุติลงมาเป็นพระโพธิสัตว์โปรดสัตว์ในพระพุทธศาสนา กอปรกับโชคชะตาของประเทศชาติที่จะไม่เสื่อมเสียอธิปไตย เดชะบุญญาบารมีในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เทพยาดาทั้งหลายจึงดลบันดาลให้ท่านเรียบเรียงและแปลอักษรจากเมล็ดทองคำ 84,000 ตัว เป็นลำดับโดยสะดวกไม่ติดขัดประการใดเลย

ขณะที่ท่านเรียบเรียงและแปลอักษรไปได้มากแล้ว ปรากฏว่าเมล็ดทองคำตัวอักษรขาดหายไปเจ็ดตัวคือ ตัว สัง วิ ธา ปุ กะ ยะ ปะ ท่านจึงทวงถามเอาที่พราหมณ์ทั้งเจ็ด พราหมณ์ทั้งเจ็ดก็ยอมจำนวน จึงประเคนเมล็ดทองคำที่ตนซ่อนไว้นั้นให้ท่านแต่โดยดี ปรากฏว่าท่านแปลพระไตรปิฎกจากเมล็ดทองคำสำเร็จบริบูรณ์เป็นการชนะพราหมณ์ในเวลาเย็นของวันนั้น



พระราชมุนี

สมเด็จพระเอกาทศรถทรงพระโสมนัสยินดีเป็นที่ยิ่ง ทรงมีรับสั่งถวายราชสมบัติให้แก่เจ้าสามีรามให้ครอง 7 วัน แต่ท่านก็มิได้รับโดยให้เหตุผลว่าท่านเป็นสมณะ พระองค์ก็จนพระทัยแต่พระประสงค์อันแรงกล้าที่จะสนองคุณความดีความชอบอันใหญ่ยิ่งให้แก่ท่านในครั้งนี้ จึงพระราชทานสมณศักดิ์ให้เจ้าสามีรามเป็น “พระราชมุนีสามีรามคุณูปมาจารย์” ในเวลานั้น พระราชมุนีสามีรามคุณูปมาจารย์หรือหลวงพ่อทวดได้ไปจำพรรษาอยู่ ณ วัดราชานุวาส ศึกษาและปฏิบัติธรรมอยู่เป็นเวลาหลายปี ด้วยความสงบร่มเย็นเป็นสุขตลอดมา

โรคห่าเหือดหาย

ต่อจากนั้น กรุงศรีอยุธยาเกิดโรคห่าระบาดไปทั่วเมือง ประชาราษฎรล้มป่วยเจ็บตายลงเป็นอันมาก ประชาชนพลเมืองเดือดร้อนเป็นยิ่งนัก สมัยนั้นหยูกยาก็ไม่มี นิยมใช้รักษาป้องกันด้วยอำนาจคุณพระศรีรัตนตรัยพระเจ้าอยู่หัวทรงพระวิตกกังวลมากเพราะไม่มีวิธีใดจะช่วยรักษาและป้องกันโรคนี้ได้ ทรงระลึกถึงพระราชมุนีฯ มีรับสั่งให้อำมาตย์ไปนิมนต์ท่านเจ้าเฝ้า ท่านได้ช่วยไว้อีกครั้งโดยรำลึกถึงคุณพระศรีรัตนตรัยและดวงแก้ววิเศษ แล้วทำน้ำพระพุทธมนต์ประพรมแก่ประชาชนทั่วทั้งพระนคร โรคห่าก็หายขาดด้วยอำนาจ คุณความดีและคุณธรรมอันสูงส่ง ทำให้พระเจ้าอยู่หัวทรงเลื่อนสมณศักดิ์ท่านขึ้นเป็นพระสังฆราชมีนามว่า “พระสังฆราชคูรูปาจารย์” และทรงพอพระราชหฤทัยในองค์ท่านเป็นอย่างยิ่ง ถึงกับทรงมีรับสั่งว่า “หากสมเด็จเจ้าฯ ประสงค์สิ่งใด หรือจะบูรณะวัดวาอารามใดๆ ข้าพเจ้าจะอุปถัมภ์ทุกประการ”

กลับสู่ถิ่นฐาน

ครั้นกาลเวลาล่วงไปหลายปี สมเด็จเจ้าฯได้เข้าเฝ้า ถวายพระพรทูลลาจะกลับภูมิลำเนาเดิม พระองค์ทรงอาลัยมาก ไม่กล้าทัดทานเพียงแต่ตรัสว่า “สมเด็จอย่าละทิ้งโยม” แล้วเสด็จมาส่งสมเด็จเจ้าฯ จนสิ้นเขตพระนครศรีอยุธยา

ขณะที่ท่านรุกขมูลธุดงค์ สมเด็จเจ้าฯ ได้เผยแผ่ธรรมะไปด้วยตามเส้นทาง ผ่านที่ไหนมีผู้เจ็บป่วยก็ทำการรักษาให้ ตามแนวทางที่ท่านเดินพักแรมที่ใดนั้น ที่นั่นก็เกิดเป็นสถานศักดิ์สิทธิ์ ประชาชนในถิ่นนั้นได้ทำการเคารพสักการะบูชามาถึงบัดนี้ ได้แก่ที่บ้านโกฏิ อำเภอปากพนัง ที่หัวลำภูใหญ่ อำเภอหัวไทร และอีกหลายแห่ง

สมเด็จเจ้าพะโคะ


ต่อจากนั้น ท่านก็ได้ธุดงค์ไปจนถึงวัดพัทธสิงห์บรรพตพะโคะ อันเป็นจุดหมายปลายทาง ประชาชนต่างซึ่งชื่นชมยินดีแซ่ซ้องสาธุการต้อนรับท่านเป็นการใหญ่ และได้พร้อมกันถวายนามท่านว่า “สมเด็จเจ้าพะโคะ” และเรียกชื่อวัดพัทธสิงห์บรรพตพะโคะว่า “วัดพะโคะ” มาจนบัดนี้ สมเด็จเจ้าฯ เห็นวัดพระโคะเสื่อมโทรมมาก เนื่องจากถูกข้าศึกทำลายโจรกรรม มีสภาพเหมือนวัดร้างสมเด็จเจ้าฯ กับท่านอาจารย์จวง คิดจะบูรณะปฏิสังขรณ์วัดพะโคะ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงทราบ ยินดีและอนุโมทนาเป็นอย่างยิ่ง โปรดให้นายช่างผู้ชำนาญ 500 คน และทรงพระราชทานสิ่งของต่างๆ และเงินตราเพื่อการนี้เป็นจำนวนมาก ใช้เวลาประมาณ 3 ปี จึงแล้วเสร็จ สิ่งสำคัญในวัดพะโคะหรือ พระสุวรรณมาลิกเจดีย์ศรีรัตนมหาธาตุ ภายในบรรจุพระบรมสารีริกธาตุซึ่งพระอรหันต์นามว่าพระมหาอโนมทัสสีได้เป็นผู้เดินทางไปอัญเชิญมาจากประเทศอินเดียสมเด็จเจ้าฯ ได้จำพรรษาเผยแผ่ธรรมที่วัดพะโคะอยู่หลายพรรษา





เหยียบน้ำทะเลจืด

ขณะที่สมเด็จเจ้าฯ จำพรรษาอยู่ ณ วัดพะโคะ ครั้งนี้คาดคะเนว่า ท่านมีอายุกาลถึง 80 ปีเศษ อยู่มาวันหนึ่งท่านถือไม้เท้าศักดิ์สิทธิ์ประจำตัวไม้เท้านี้มีลักษณะคดไปมาเป็น 3 คด ชาวบ้านเรียกว่า “ไม้เท้า 3 คด” ท่านออกจากวัดมุ่งหน้าเดินไปยังชายฝั่งทะเลจีน ขณะที่ท่านเดินพักผ่อนรับอากาศทะเลอยู่นั้น ได้มีเรือโจรสลัดจีนแล่นเลียบชายฝั่งมา พวกโจรจีนเห็นท่านเดินอยู่คิดเห็นว่าท่านเป็นคนประหลาดเพราะท่านครองสมณเพศ พวกโจรจึงแวะเรือเทียบฝั่งจับท่านลงเรือไป เมื่อเรือโจรจีนออกจากฝั่งไม่นาน เหตุมหัศจรรย์ก็ปรากฏขึ้น คือ เรือลำนั้นแล่นต่อไปไม่ได้ต้องหยุดนิ่งอยู่กับที่ พวกโจรจีนพยายามแก้ไขจนหมดความสามารถเรือก็ยังไม่เคลื่อน จึงได้จอดเรือนิ่งอยู่ ณ ที่นั้นเป็นเวลาหลายวันหลายคืน ในที่สุดน้ำจืดที่นำมาบริโภคในเรือก็หมดสิ้น จึงขาดน้ำจืดดื่มและหุงต้มอาหารพากันเดือดร้อนกระวนกระวายด้วยกระหายน้ำเป็นอย่างมาก สมเด็จเจ้าฯ ท่านเห็นเหตุการณ์ความเดือดร้อนของพวกโจรถึงขั้นที่สุดแล้ว ท่านจึงเหยียบกราบเรือให้ตะแคงต่ำลงแล้วยื่นเท้าเหยียบลงบนผิวน้ำทะเลทั้งนี้ย่อมไม่พ้นความสังเกตของพวกโจรจีนไปได้

เมื่อท่านยกเท้าขึ้นจากพื้นน้ำทะเลแล้วก็สั่งให้พวกโจรตักน้ำตรงนั้นมาดื่มชิมดู พวกโจรจีนแม้จะไม่เชื่อก็จำเป็นต้องลองเพราะไม่มีทางใดจะช่วยตัวเองได้แล้ว แต่ได้ปรากฏว่าน้ำทะเลเค็มจัดที่ตรงนั้นแปรสภาพเป็นน้ำจืดเป็นที่อัศจรรย์ยิ่งนัก พวกโจรจีนได้เห็นประจักษ์ในคุณอภินิหารของท่านเช่นนั้น ก็พากันหวาดเกรงภัยที่จะเกิดแก่พวกเขาต่อไป จึงได้พากันกราบไหว้ขอขมาโทษแล้วนำท่านล่องเรือส่งกลับขึ้นฝั่งต่อไป

เมื่อสมเด็จเจ้าฯ ขึ้นจากเรือเดินกลับวัด ถึงที่แห่งหนึ่งท่านหยุดพักเหนื่อย ได้เอา “ไม้เท้า 3 คด” พิงไว้กับต้นยางสองต้นอันยืนต้นคู่เคียงกัน ต่อมาต้นยางสองต้นนั้นสูงใหญ่ขึ้น ลำต้นและกิ่งก้านสาขาเปลี่ยนไปจากสภาพเดิกกลับคดๆ งอๆ แบบเดียวกับรูปไม้เท้าทั้งสองต้น ประชาชนในถิ่นนั้นเรียกว่าต้นยางไม้เท้า ซึ่งเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งหนึ่งปรากฏอยู่ถึงทุกวันนี้

สมเด็จเจ้าพะโคะหรือหลวงปู่ทวดครองสมณเพศและจำพรรษาอยู่ที่วัดพะโคะ เป็นที่พึ่งของประชาราษฎร์มีความร่มเย็นเป็นสุข ได้ช่วยการเจ็บไข้ได้ทุกข์ บำรุงสุข เทศนาสั่งสอนธรรมของพระพุทธองค์ ประดุจร่มโพธิ์ร่มไทรของปวงพุทธศาสนิกชนตลอดมา

สังขารธรรม

หลังจากนั้นหลายพรรษา สมเด็จเจ้าฯ หายไปจากวัดพะโคะเที่ยวจาริกเผยแผ่ธรรมะไปหลายแห่ง จากหลักฐานทราบว่าท่านได้ไปพำนักที่เมืองไทรบุรี ชาวบ้านเรียกท่านว่า “ท่านลังกา” และได้ไปพำนักที่วัดช้างไห้ ชาวบ้านเรียกท่านว่า “ท่านช้างให้” ดังนี้ ท่านได้สั่งแก่ศิษย์ว่าหากท่านมรณภาพเมื่อใด ขอให้ช่วยกันจัดการหามศพไปทำการฌาปนกิจ ณ วัดช้างให้ด้วย ขณะหามศพพักแรมนั้น ณ ที่ใดน้ำเหลืองไหลลงสู่พื้นดิน ที่ตรงนั้นให้เอาเสาไม้แก่นปักหมายไว้ต่อไปข้างหน้าจะเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์อยู่มาไม่นานเท่าไร ท่านก็ได้มรณภาพลงด้วยโรคชรา ปวงศาสนิกก็นำพระศพมาไว้ที่วัดช้างให้ อำเภอโคกโพธิ์ จังหวัดปัตตานี สถานที่ที่สมเด็จเจ้าฯ เคยพำนักอยู่ หรือไปมา นับได้ดังนี้ วัดกุฎิหลวง วัดสีหยัง วัดเสมาเมือง นครศรีธรรมราช กรุงศรีอยุธยา วัดพะโคะ วัดเกาะใหญ่ วัดในไทรบุรี และวัดช้างให้

ปัจฉิมภาค

สมเด็จเจ้าฯ ในฐานะพระโพธิสัตว์หน่อพระพุทธภูมิ ผู้ทรงศีลวิสุทธิทรงธรรมและปัญญาญาณอันล้ำเลิศ กอปรด้วยกฤษดาภินิหารและปาฏิหาริย์ไม่ว่าท่านจะพำนักอยู่สถานที่ใด ที่นั่นจะเป็นศูนย์กลางในการเผยแผ่พระพุทธศาสนา ไม่ว่าท่านจะจาริกไป ณ ที่ใด ก็จะมีคนกราบไหว้ฟังธรรม หลักการปฏิบัติของท่านเป็นหลักสำคัญของพระโพธิสัตว์คือช่วยเหลือประชาชนและเผยแพร่ธรรมะให้ชาวโลกอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข มีความเคารพเลื่อมใสในพระพุทธเจ้า พระธรรมและพระสงฆ์ สมดังคำว่า “พุทธัง ธัมมัง สังฆัง สรณัง คัจฉามิ” ตลอดไป





ข้อมูลเพิ่มเติม 3 ศ. - 04 มี.ค. 2554 - 23:15:06 น.


ประวัติ พระอาจารย์นอง ธมฺมภูโต วัดทรายขาว (พระครูธรรมกิจโกศล)

พระครูธรรมกิจโกศล หรือ พระอาจารย์นอง ธมฺมภูโต เดิมชื่อ "นอง หน่อทอง"เกิดเมื่อวันเสาร์ แรม 6 ค่ำ เดือน 11 ปีมะแม ตรงกับวันที่ 15 ตุลาคม 2462 ที่ ต.นาประดู่ อ.โคกโพธิ์ จ.ปัตตานี โยมบิดาชื่อ นายเรือง หน่อทอง โยมมารดาชื่อ นางทองเพ็ง มีพี่น้อง 3 คน คนแรก คือตัวพระอาจารย์นอง คนที่สองนางทองจันทร์ และคนที่สามนายน่วม พระอาจารย์นองเรียนจบ ป.3 ที่โรงเรียนนาประดู่ ขณะมีอายุ 15 ปี ออกมาช่วยพ่อแม่ทำนาทำสวน และบรรพชาเป็นสามเณรเมื่อายุ 19 ปี ที่วัดนาประดู่ มีพระพุทธไสยารักษ์ (นุ่ม) วัดหน้าถ้ำ เป็นพระอุปัชฌาย์ แต่บวชได้ 1 เดือน ก็ลาสิกขาออกมาช่วยพ่อแม่ทำนาทำสวนต่อไประยะหนึ่ง จนกระทั่งอายุได้ 21 ปี

เมื่อวันที่ 27 มิถุนายน 2482 ก็อุปสมบทเป็นพระภิกษุ ณ วัดนาประดู่ โดยมีพระครูวิบูลย์สมณกิจ (ชุ่ม) วัดตุยง เจ้าคณะเมืองหนองจิก เป็นพระอุปัชฌาย์ พระอธิการดำ วัดนางโอ และพระครูภัทรกรโกวิท (แดง)วัดนาประดู่ เป็นพระคู่สวดได้ฉายา "ธมฺมภูโต" อยู่วัดนาประดู่ได้ 12 พรรษา จากนั้นย้ายมาจำพรรษาที่วัดทรายขาว จนได้เป็นเจ้าอาวาส และเป็นเจ้าคณะตำบลโคกโพธิ์ตราบจนมรณภาพ

สำหรับพระอาจารย์นอง เป็นสหธรรมิกกับพระอาจารย์ทิม วัดช้างให้ เคยร่วมสร้างพระเครื่องหลวงพ่อทวดเนื้อว่านเมื่อปี 2497 จนโด่งดังทั่วสารทิศ และต่อมาพระอาจารย์นองได้สร้างเครื่องรางของขลังที่ดังไปทั่วเมืองไทย คือตะกรุดนารายณ์แปลงรูปและพระเครื่องหลวงพ่อทวดเนื้อว่านฝังตะกรุด นอกจากนั้นแล้วพระอาจารย์นองยังเป็นพระนักพัฒนารูปหนึ่งที่ได้รับการยกย่องชมเชยตลอดมา และเป็นพระอยู่ในนิกายมหานิกาย สิริรวมอายุถึงวันมรณภาพได้ 80 ปี 11 เดือน 60 พรรษา

ความสัมพันธ์กับอาจารย์ทิม วัดช้างให้ ท่านเป็นสหธรรมิกกับท่านพระอาจารย์ทิม วัดช้างให้ เป็นทั้งกัลยาณมิตรเป็นศิษย์กับอาจารย์ต่อกัน เกื้อกูล เกื้อหนุนกันมาโดยตลอดตั้งแต่ต้นจนวาระสุดท้ายของท่านอาจารย์ทิม เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2512

ทั้งพระอาจารย์ทิม และพระอาจารย์นอง เป็นศิษย์ร่วมสำนักวัดประดู่มาด้วยกันเมื่อพระอาจารย์ทิมมาอยู่วัดช้างให้ และพระอาจารย์นองไปอยู่วัดทรายขาว ก็ยังมีความสัมพันธ์ดีงามมาโดยตลอด กิจการใดของวัดช้างให้ ท่านจะเป็นผู้คอยช่วยเหลืออยู่ข้างกายพระอาจารย์ทิมทุกอย่าง ที่สำคัญ การสร้างพระหลวงพ่อทวด เนื้อว่าน ปี พ.ศ.2497 ถ้าจะกล่าวกันแล้ว ปฐมเหตุจริงๆ ก็มาจากท่านที่เป็นผู้ชักชวนพระอาจารย์ทิมให้สร้างพระหลวงพ่อทวด ตามที่ท่านได้เล่าให้ฟังเท่าที่จำได้คร่าวๆ คือ

ช่วงนั้น ท่านกับพระอาจารย์ทิม ขึ้นมากรุงเทพฯ และไปที่วัดระฆัง เพื่อที่จะไปเช่าบูชาพระสมเด็จของหลวงปู่นาค มาเพื่อให้คนทำบุญจะได้นำเงินไปสร้างโบสถ์วัดช้างให้ พกเงินขึ้นมาประมาณ 3,000 บาท ขณะที่กำลังจะขึ้นไปเช่าพระ ท่านบอกว่า "กูนึกยังไงก็ไม่รู้ สะกิดอาจารย์ทิม บอกว่า ท่านๆ ทำไมเราไม่กลับไปทำพระของเราเองล่ะ" "พระอะไร...?" พระอาจารย์ทิมถาม "ก็พระหลวงพ่อทวดไง" พระอาจารย์ทิมบอก "เออ...!! นั่นน่ะสิ" ทั้งสองท่านจึงได้เช่าบูชาพระสมเด็จหลวงปู่นาค เพียงเล็กน้อยและพากันกลับปัตตานี

ปฐมเหตุตรงจุดนี้ คือกำเนิดของสุดยอดพระเครื่องเมืองใต้ หลวงพ่อทวดเนื้อว่าน ปีพ.ศ.2497 อันเป็นอมตะตลอดกาล ส่วนคุณอนันต์ คณานุรักษ์ นั้น เป็นส่วนประกอบที่ช่วยเหลือให้การจัดสร้างสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี ซึ่งคงเป็นเพราะบารมีของหลวงพ่อทวดที่บันดาลชักนำ คุณอนันต์ คณานุรักษ์ คหบดีชาวปัตตานีให้มาเป็นกำลังสำคัญ

การจัดสร้างพระหลวงพ่อทวดเนื้อว่าน ปี พ.ศ.2497 ท่านจึงมีส่วนอย่างมากในทุกๆ ขั้นตอนการจัดสร้าง ฉะนั้น...ท่านจะรู้พิธีกรรม และเรื่องว่านดีที่สุด เมื่อท่านมาสร้างพระหลวงพ่อทวด ขึ้นเองจึงมีความขลังแ ละศักดิ์สิทธิ์เป็นที่ประจักษ์ต่อสาธารณชนมาโดยตลอด

เหตุการณ์ที่บ่งให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างสองพระอาจารย์ที่ผู้เขียนได้ฟังแล้วรู้สึกประทับใจและกินใจมาก ตามที่ท่านเล่าให้ฟังว่า

ก่อนที่อาจารย์ทิมจะไปรักษาตัวที่กรุงเทพฯ ท่านมาหาเราที่วัด สั่งเสียไว้หลายเรื่องฝากให้เราช่วยดูแลวัดช้างให้ ท่านหยิบขันน้ำมนต์ขึ้นมา ท่านจับประคองอยู่ด้านหนึ่งให้เราจับอีกด้านหนึ่ง แล้วท่านพูดว่า "ตั้งแต่คบกันมา คุณไม่เคยทำให้ผมเสียใจเลย คนอื่นยังมีตรงบ้าง คดบ้าง "เรา" ขออธิษฐาน บุญใดที่เคยทำร่วมกันมา และยังไม่เคยทำร่วมกันมาก็ดี ทั้งชาตินี้และอดีตชาติ ขออธิษฐาน เกลี่ยบุญให้เท่ากัน เพื่อจะได้เกิดทันกันทุกๆ ชาติไปจนถึงชาติสุดท้าย"

จากนั้นพระอาจารย์ทิมก็เข้าไปรักษาตัวที่กรุงเทพฯ และก็มรณภาพที่โรงพยาบาลกลางเมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2512 คำอธิษฐานนี้ผู้เขียนเชื่อว่าเป็นคำพูดที่ยิ่งใหญ่ เป็นอมตวาจาอย่างแท้จริง ได้ความรู้สึกถึงความผูกพันที่ท่านทั้งสองมีต่อกัน ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาตลอด ได้ร่วมสร้างตำนานอันมหัศจรรย์ ของหลวงพ่อทวด วัดช้างให้ แผ่ออกไปทั่วทุกสารทิศ พระอาจาร์ทิม ถ้านับจาก พ.ศ.2497-2512 ก็เพียง 15 ปี แต่พระอาจารย์นองท่านใช้เวลาถึง 45 ปี (2497-2542)

ปัจจุบัน หลวงพ่อทวด วัดช้างให้ ไม่มีใครไม่รู้จักชื่อเสียงของหลวงพ่อทวดดังไปถึงมาเลเซีย สิงคโปร์ ก็มีผู้คนนับถือไม่น้อยเช่นกัน

เรื่องความสัมพันธ์กับพระอาจารย์ทิมนั้น ถ้าจะเปรียบก็เหมือนกับ "ดีนอก" คือมีปัจจัยอื่นช่วยส่งเสริม แต่เรื่องที่จะกล่าวต่อไปนี้ก็คือ "ดีใน" นั่นเอง หมายถึง คุณลักษณะส่วนตัวของพระอาจารย์นอง สองสิ่งต้องคู่กันจึงจะสมบูรณ์ เมื่อดีก็ต้องดีทั้งนอก ดีทั้งใน

พระอาจารย์นอง ท่านยึดถือมาตลอดในการช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยาก โดยไม่เลือกว่าจะเป็นศาสนาใดๆ ยากดีมีจน ท่านจะเป็นผู้ให้มาโดยตลอด ทั้งเรื่องสร้างโรงพยาบาลซื้ออุปกรณ์การแพทย์ สร้างโรงเรียน ทุนการศึกษา สร้างถนนหนทาง บริจาคทรัพย์ให้กับสาธารณกุศลอยู่เป็นประจำ ช่วยสร้างอุโบสถวัดต่างๆ แม้กระทั่งบริจาคเงินให้กับชาวอิสลามที่อยู่แถบ วัดทรายขาว ตลอดจนช่วยเหลือสงเคราะห์เรื่องต่างๆ จนได้รับการยอมรับนับถือจากชาวอิสลามเป็นจำนวนมาก

ในเรื่องของการบริจาคทรัพย์ซื้ออุปกรณ์การแพทย์นั้น ท่านบอกว่า สามารถช่วยเหลือชีวิตคนได้มากประโยชน์เกิดขึ้นทันที ด้วยการที่ท่านเข้าออกโรงพยาบาลอยู่บ่อยครั้งท่านจึงเห็นคุณประโยชน์ของอุปกรณ์การแพทย์ บางครั้งเวลาท่านอารมณ์ดีท่านจะเล่าเรื่องต่างๆ ให้ฟัง ท่านเคยพูดว่า

"ตอนกูไปอยู่โรงพยาบาล กูก็เตรียมเงินสดไปด้วยตลอด แล้วถามหมอว่า ขาดอะไรบ้าง หมอบอกว่า ขาดไอ้นั่น ไอ้นี่ กูควักเงินสดให้ไปซื้อเลย ครั้งหลังๆ นี่ พอกูไปนอนโรงพยาบาล ตื่นขึ้นมามองซ้าย มองขวา มีชื่อ พระครูธรรมกิจโกศล ติดเต็มไปหมด" ท่านพูดเสร็จก็หัวเราะร่วนชอบใจใหญ่

ท่านเคยพูดให้ฟังเสมอว่า "คนที่เขาเดือดร้อนมาพึ่งเรา หากไม่เกิดวิสัยแล้ว เราช่วยได้ก็จะช่วย บางคนมาไม่มีเงิน ค่ารถ ค่ากิน เราก็ให้ไปเรื่องบุญ เรื่องทาน ใครทำใครก็ได้ไป บุญยิ่งทำก็ยิ่งได้บุญ ทานยิ่งให้ทานมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งได้กลับมามากยิ่งๆ ขึ้นเป็นการสั่งสมบารมีลดกิเลสลงไป"

จริงดั่งท่านว่า "ยิ่งทำก็ยิ่งได้ ยิ่งให้ก็ยิ่งมา" ธรรมะข้อนี้เป็นเรื่องที่เหมาะสำหรับสังคมยุคปัจจุบันอย่างยิ่ง เพราะสังคมเราทุกวันนี้ มีความเห็นแก่ตัวมากขึ้นทุกที ถ้าคนเรารู้จักคำว่าให้ รู้จักคำว่าพอ รู้จักเสียสละ เชื่อว่าสังคมจะดีขึ้นกว่านี้แน่นอน เรื่องทานบารมีเป็นธรรมะที่พระอาจารย์นอง ยึดปฏิบัติบำเพ็ญเพียรมาโดยตลอดชีวิตของท่าน ถือว่าเป็นคุณความดีในตัวท่านเอง แต่สามารถสร้างคุณานุประโยชน์ต่อสังคมได้อย่างมหาศาลท่านจึงเป็นที่รักเคารพของมหาชน

พระอาจารย์นอง ท่านดำรงชีวิตอยู่ในสมณเพศด้วยความเรียบง่าย กิน (ฉัน) ง่ายอยู่ง่ายไม่พิถีพิถัน วางเฉยในเรื่องยศฐาบรรดาศักดิ์ ไม่มีความทะยานอยาก ท่านพัฒนาวัดทรายขาว จนมีความเจริญรุดหน้าอย่างเห็นได้ชัดเจน ชั่วระยะเวลาไม่ถึง 10 ปี ท่านสร้างวัดทรายขาว ให้งามสง่ากว่าวัดใดๆ ใน จ.ปัตตานี หรือแม้กระทั่งจังหวัดใกล้เคียง เงินที่นำไปสร้างทั้งหมดกว่าหนึ่งร้อยล้านบาท ล้วนแล้วแต่เป็นเงินที่มาจากการสร้างพระหลวงพ่อทวดทั้งสิ้น

ท่านมิได้แตะต้องเงินทำบุญที่มีผู้บริจาคให้วัดแต่อย่างใด ปรากฏว่าหลังจากท่านมรณภาพ คณะกรรมการได้เคลียร์บัญชีทรัพย์สินในบัญชีต่างๆ เหลือเงินสดถึงกว่าสามสิบล้านบาท ทุกบัญชีท่านแยกแยะไว้ชัดเจนว่าเป็นเงินอะไรบ้าง มีที่มาที่ไปอย่างไร หนี้สินใครบ้าง ท่านมีบัญชีทั้งหมด แสดงให้เห็นถึงความเป็นนักบริหารงานที่มีการจัดการที่ดีเยี่ยม


ข้อมูลเพิ่มเติม 2 - 09 มิ.ย. 2554 - 14:41:32 น.



jj


 
ราคาปัจจุบัน :     590 บาท
เพิ่มขึ้นครั้งละ :     10 บาท

!!! ท่านต้อง login เข้าสู่ระบบก่อน จึงจะสามารถร่วมประมูลได้ !!!


 

Copyright ©G-PRA.COM