(N)
ประวัติหลวงพ่อสนองชาติ
หลวงพ่อสนองชาติ ฐิตจิตฺโต เดิมท่านเป็นคนกรุงเก่าพระนครศรีอยุธยา โยมบิดาชื่อชูศักดิ์ เศียรประภัสสร โยมมารดาชื่อสำอางค์ เศียรประภัสสร ท่านเกิดเมื่อวันที่ ๑๔ สิงหาคม ๒๔๘๓ ในวัยเยาว์โยมแม่และโยมยายได้นำท่านไปฝากตัวเป็นบุตรบุญธรรมของพระครูเนกขัมมวิสุทธิคุณ(หลวงพ่อฮวด) เจ้าอาวาสวัดไม้รวก และหลวงพ่อฮวดนี้เองที่ได้ตั้งชื่อให้ท่านใหม่ว่า สนองชาติ การศึกษาทางโลกท่านได้เข้าเรียนชั้นประถมศึกษาที่โรงเรียนหนองแห้ว และในระดับมัธยมต้นที่โรงเรียนนิตยานุกูล จากนั้นโยมบิดาของท่านได้ส่งให้ไปเรียนต่อที่โรงเรียนอำนวยศิลป์ในพระนคร ระหว่างเรียนที่โรงเรียนนิตยานุกูลนี้เองท่านได้เป็นศิษย์วัดอยู่ที่วัดแค ซึ่งมีพระปลัดบุญรอดเป็นเจ้าอาวาส พระปลัดบุญรอดท่านเป็นพระธุดงค์ชาวเขมร ผู้ทรงวิทยาคมมีความชำนาญทั้งด้านปริยัติและปฏิบัติ มีความเชี่ยวชาญในอักขระเลขยันต์ และเวทย์มนต์ต่างๆ หลวงพ่อสนองชาติท่านมีความสนใจใคร่รู้ในเรื่องดังกล่าวเป็นอย่างมาก ท่านได้ศึกษาสรรพวิชาต่างๆ จากหลวงพ่อบุญรอดควบคู่กับการเรียนทางโลก เมื่อกลับจากพระนครท่านมาทำงานช่วยเหลือครอบครัวที่บ้านเกิดของท่าน และต่อมาได้มาบวชเป็นสามเณรที่วัดไม้รวกโดยมีหลวงพ่อฮวดเป็นผู้บรรพชาให้และครั้งนี้ท่านได้ศึกษาหาความรู้ในวิชาต่างๆอย่างจริงจัง ที่สำนักใดที่ว่ามีวิชาเก่งกล้า หลวงพ่อท่านก็จะเข้าไปกราบพร้อมเครื่องบูชาครูขอเป็นศิษย์เพื่อศึกษาวิชา ด้วยความอ่อนน้อมถ่อมตนและความวิริยะอุตสาหะของท่านและประกอบกับความรู้เรื่องอักขระเลขยันต์และภาษาขอมโบราณเป็นอย่างดีทำให้ท่านสามารถไปขอศึกษาสรรพวิชาโบราณอีกหลายแขนงจากตำราสมุดข่อยของสำนักต่างๆ ท่านตั้งใจศึกษาและทดลองปฏิบัติจริงจนเห็นผลทั้งวิชาคงกะพันชาตรี วิชาทางเมตตามหานิยม มหาลาภ คุ้มครองป้องกันและแคล้วคลาด วิชาทำตะกรุดและลงผ้ายันต์ วิชาการสร้างหนุมาน วิชาแก้ไสยศาสตร์มนต์ดำ และวิชาแพทย์แผนโบราณ ในขณะนั้นท่านเป็นพระหนุ่มที่พูดน้อยแต่มีจิตแน่วแน่ ทำอะไรจริงจังและมีความมั่นใจในตนเองสูงมาก และได้ศึกษาวิชาต่างๆ จากตำราโบราณจากหลายสำนักด้วยตนเอง ต่อมาท่านได้ฝากตัวเป็นศิษย์และเข้าพิธีครอบครูกับหลวงพ่อเงินแห่งวัดดอนยายหอม และหลวงพ่อสนองชาติได้ขอคำแนะนำหลายอย่างที่ท่านกำลังติดขัดอยู่ หลวงพ่อเงินท่านก็เมตตาชี้แนะให้จนเข้าใจกระจ่างแจ้งทุกอย่าง และให้คำสอนที่หลวงพ่อสนองชาติท่านจดจำมาถึงทุกวันนี้ว่า ถ้าจะทำของอะไร ต้องทำให้ดีที่สุดเสกจนมั่นใจแล้วจึงค่อยแจกจ่ายให้คนเอาไปใช้ เพราะคนที่ศรัทธาเอาของเราไปใช้เท่ากับเขาฝากชีวิตไว้กับเรา และท่านยังได้ไปศึกษาวิชาปฏิบัติกรรมฐานจากสำนักหลวงพ่อตาบวัดมะขามเรียง จากนั้นท่านจึงกลับมาพำนัก ณ วัดไม้รวก ญาติโยมนิมนต์ท่านให้เป็นเจ้าอาวาสสืบต่อจากอาจารย์ของท่านแต่ท่านปฏิเสธ ตัวท่านเองนั้นต้องการความสงบ แต่เมื่อมีคนเดือดร้อนมาขอร้อง ท่านก็ช่วยไปตามที่ทำได้ทุกครั้งไปจนเป็นที่ศรัทธามากมายจากผู้คนทั้งใกล้และไกล และขอให้ท่านเสกวัตถุมงคลจำพวกรูปถ่ายของท่านซึ่งก็มีประสบการณ์มากมาย ต่อมาเมื่อมีคนมาหากันมากขึ้นเรื่อยๆ จึงทำให้มีเกิดความไม่เข้าใจกันกับเจ้าอาวาสองค์ใหม่ของวัดไม้รวก และตรองดูแล้วว่าแม้ย้ายไปวัดอื่นนานไปเกรงจะเกิดปัญหาขึ้นอีก ท่านจึงตัดสินใจลาสิกขาบทเพื่อแสวงหาความสงบประพฤติตนเป็นเพียงผู้ปฏิบัติธรรม เดินทางธุดงค์ไปปฏิบัติธรรมตามถ้ำและป่าลึก ระหว่างนั้นแม้ท่านจะมิได้อยู่ในเพศบรรพชิตแล้วก็ตามแต่ก็ยังมีลูกศิษย์ที่เคารพศรัทธาอยู่ไม่น้อย และมีคนตามไปขอคำชี้แนะทั้งทางโลกและทางธรรมอยู่เสมอไม่ว่าท่านจะอยู่ ณ ที่ใดก็ตาม จนเมื่อ พ.ศ. ๒๕๒๒ ท่านได้ตัดสินใจเข้าอุปสมบทใหม่ ณ วัดทองบน กรุงเทพมหานคร ตามคำขอของคณะศิษย์เพื่อจะได้สั่งสอนและช่วยเหลือคนในหมู่มากให้พ้นทุกข์ โดยมีพระครูจันทรโอภาสเป็นพระอุปัชฌาย์ จากนั้นท่านตั้งใจออกเดินทางเพื่อแสวงหาสถานที่สงบร่มเย็นเหมาะแก่การปฏิบัติธรรมและพัฒนาให้เป็นวัดต่อไป จนที่สุดคณะศิษย์ซึ่งประกอบด้วยพันตรีพิชิต กรานเลิศ (ยศในขณะนั้น) พันโทอำนาจ ชยมานนท์ (ยศในขณะนั้น) และพันโทพีระ ลีละสิริ(ยศในขณะนั้น) ซึ่งเป็นทหารอยู่ในกองพลทหารราบที่๙ ได้นิมนต์ท่านมา ณ วัดร้างที่บ้านจันอุย ตำบลลาดหญ้า อำเภอเมือง จังหวัดกาญจนบุรี หลังจากท่านเข้ามาสำรวจและ พิจารณาเห็นว่าเหมาะควรแล้ว ท่านจึงเริ่มเข้ามาสร้างกุฏิหลังเล็กๆเพื่อปฏิบัติธรรมและได้พัฒนาต่อมาเป็นวัดเย็นสนิทธรรมารามในปัจจุบัน หลวงพ่อสนองชาติท่านเป็นพระที่รักความสงบ พูดน้อย และมีเมตตาสูงมาก ใครไปขอให้ช่วยท่านก็ช่วยทุกคนโดยเสมอกัน ในทางปกครองท่านได้รับการเลื่อนสมณศักดิ์มาโดยลำดับ และได้รับพระราชทานสมณศักดิ์ที่ พระครูสุภัทรกาญจนกิจ ใน พ.ศ. ๒๕๓๙ และได้รับแต่งตั้งให้เป็นเจ้าคณะตำบลลาดหญ้า เมื่อ พ.ศ.๒๕๔๘ ตั้งแต่ที่หลวงพ่อสนองชาติได้มาจำพรรษาที่วัดเย็นสนิทธรรมารามจนถึงปัจจุบันท่านได้สร้างศาสนสถานที่เป็นจำเป็นและประโยชน์ไว้มากมายได้แก่ พระอุโบสถมหาอุตม์ที่ทำพิธีฝังลูกนิมิตไปเมื่อปี๒๕๓๖ ศาลาการเปรียญ เมรุ ศูนย์เด็กอ่อนก่อนวัยเรียน อาคารปฏิบัติธรรม อาคารวิปัสสนากรรมฐาน ฯลฯ ท่านเป็นพระสุปัตติปัณโนที่มีเมตตาสูงมากใครไปหาท่านก็ต้อนรับให้คำปรึกษา สอนธรรมะ สอนปฎิบัติวิปัสสนากรรมฐานให้โดยเสมอกัน ไม่เลือกชนชั้นใดๆ จะยากดีมีจนท่านก็เมตตาเสมอกัน ท่านจึงเป็นที่เคารพและศรัทธาต่อผู้คนเป็นจำนวนมากตลอดมา
พระรุ่นนี้คณะศิษย์สร้างเพื่อร่วมทำบุญ สร้างอาคารปฏิบัติธรรมวิปัสสนากรรมฐาน |