ร่วมเสนอความคิดเห็น

หัวข้อกระทู้ : เรื่องเล่าก่อนจะมาเป็นเหรียญเจริญพร 88 หลวงปู่สิงห์ ธมฺมสาโร พร้อมประวัติ และภาพพุทธาภิเษกครับ



(N)
เรื่องเล่า ก่อนจะมาเป็นเหรียญเจริญพร 88 หลวงปู่สิงห์ ธมฺมสาโร
ก่อนจะมาเป็นเหรียญเจริญพร 88 หลวงปู่สิงห์ ธมฺมสาโร ในวันนี้ ผู้สร้างคือ ผม นายศักดินันท์ สุภัควรางกูร (ตั๋น)นายกองค์การบริหารส่วนตำบลยาง กับ เพื่อนผม นาย คุณากร ปรีชาชนะชัย (เจียง)อดีต สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดสุรินทร์ เป็นเพื่อนซี้กันตั้งแต่สมัยอนุบาล มีความรักชอบในการสะสมพระเครื่องเหมือนกัน ในสมัยก่อนที่อยู่กรุงเทพฯก่อนเล่นการเมือง คุยเรื่องพระกันตลอด เกจิไหนที่กระแสมาแรงไปกราบไหว้หมด ยกตัวอย่างเช่น หลวงพ่อลออ, หลวงปู่นาม , หลวงปู่บัว ซึ่งก็มีความสุขและสนุกสนานตามประสาคนชอบสะสมพระ หลังจากนั้นต่างคนต่างก็ไปรับใช้ประชาชน ก็เลยใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับหน้าที่การงาน แต่ก็พูดคุยเกี่ยวกับพระเครื่องบ่อยๆ และมีความคิดที่จะสร้างพระเพื่อทำนุบำรุงศาสนามาโดยตลอด แต่ก็ไม่มีเวลา และมีหลายๆอย่างไม่เอื้ออำนวยมาโดยตลอด
จุดเปลี่ยนที่ได้สร้างพระรุ่นนี้
ผมได้อ่านหนังสือพิมพ์ข่าวสดฉบับวันที่ 27 มกราคม 2558 ในคอลัมพระเครื่องมีการประชาสัมพันธ์ วัตถุมงคลหลวงปู่สิงห์ ธมฺมสาโร รุ่นมงคลบารมี87 พร้อมประวัติคร่าวๆ ซึ่งเป็นเกจิใกล้บ้านผมมาก ผมเลยมีความสนใจได้เข้าไปศึกษาประวัติท่านและรู้สึกเลื่อมใสเหตุที่ท่านเป็นศิษย์เอกหลวงปู่ดุลย์สหายธรรมหลวงปู่สาม และยังเป็นพระสายธรรมยุตที่ยังเคร่ง ซึ่งในอำเภอศีขรภูมิเหลือวัดที่เป็นธรรมยุตแท้ๆแค่ 2 วัดเท่านั้น ประกอบกับผมรู้จัก กอล์ฟกับกิ๊ฟ ซึ่งบังเอิญมากที่น้องเค้าเปรียบเสมือนเป็นหลานหลวงปู่ ซึ่งพ่อน้องเค้า(ชื่อปานขอเรียกว่าตาปาน) เป็นโยมอุปฐากหลวงปู่มาโดยตลอดตั้งแต่สมัย 20 ปีที่แล้วซึ่งตาปานกับลูกสมัยก่อนไปนั่งสมาธิที่วัดโบสถ์ทุกเย็น เลยได้สอบถามพร้อมได้ไปกราบไหว้หลวงปู่แล้วรู้สึกเลื่อมใสมากยิ่งขึ้น ประกอบกับได้รับรู้เรื่องราวว่าจะมีการก่อสร้างเจดีย์มหาบูรพาจารย์ ของพระเดชพระคุณ หลวงปู่พระครูวิเชียร ธรรมคุณ (หลวงปู่สิงห์ ธมฺมสาโร) ที่วัดป่าหนองคูโบสถ์(ชาวบ้านติดปากเรียกวัดโบสถ์) ซึ่งต้องใช้งบประมาณมาก และทางวัดก็ยังไม่มีปัจจัยในการเริ่มสร้างเลย และเหมือนมีอะไรมาดลใจให้ผมคิดสร้างพระขึ้นมา เลยได้คุยกับเพื่อน(สส.เจียง) ซึ่งกำลังว่างงานพอดี และตกลงใจกันว่าจะร่วมกันสร้างพระรุ่นนี้ขึ้นมา จึงได้ไปขอพระครูปิยธรรมกร (เจ้าอาวาสวัดโบสถ์และเจ้าคณะตำบลสังขะ) และขออนุญาตหลวงปู่สิงห์ ซึ่งท่านก็อนุญาตให้สร้าง มีการขอเป็นลายลักษณ์อักษรพร้อมระบุจำนวนการสร้างและวัตถุประสงค์ที่ชัดเจน
การสร้างพระ
แรกเริ่มก็คิดว่าจะสร้างยังไงช่างหลอดก็ไม่รู้จัก(ชอบฝีมือช่างหลอดมากจากเหรียญเสมาEOD) ศูนย์จองก็ไม่รู้จักเลย จะไหวเหรอ แต่ก็คิดว่าจะทำบุญทั้งทีจะไปใส่ใจทำไม ประกอบกับอยากสร้างพระที่สวยๆราคาย่อมเยาให้คนพื้นที่บูชา และนำรายได้ทั้งหมดทุกบาททุกสตางค์หลังหักค่าใช้จ่ายถวายวัดโบสถ์สร้างเจดีย์หลวงปู่ ซึ่งค่าเดินทาง(หลายรอบมาก)ค่าที่พัก ค่าใบจอง ค่าไวนิล ไม่คิดครับ ค่าใช้จ่ายมีเพียงค่าบล็อก ค่าทองคำ ค่าเหรียญบวกค่าแรง ค่าตอกโค๊ดรวมโค๊ด ค่ากล่องใส่พระ ค่าพิธีพุทธาภิเษก เท่านี้ครับ โดยผู้สร้างก็บูชาวัตถุมงคลในราคาจองเหมือนทุกๆคนไม่มีสิทธิพิเศษ (คิดว่าสร้างทั้งทีขอบุญเยอะๆล่ะกัน) และก็เป็นเหตุบังเอิญอย่างยิ่งที่ พี่ตี๋ chengsim ได้โทรเข้ามาสอบถามเหรียญหลวงปู่ทวด EOD เนื้อทองคำที่ผมมีอยู่จึงได้คุยกัน และถามว่าพี่รู้จักช่างหลอดมั๊ย พี่ตี๋บอกรู้จักดีเลยแหล่ะเดี๋ยวพาไปหาเลย เลยได้เป็นที่มาของการสร้างเหรียญรุ่นนี้ และก็ได้พี่แฟ็ป(หลานปู่อ่วมพระเครื่อง)ที่ได้ช่วยออกแบบพระรุ่นนี้ให้ และขอขอบคุณศูนย์จองทุกท่านนะครับที่ได้ร่วมงานบุญนี้ ซึ่งพระส่วนใหญ่จะให้บูชาที่วัดโบสถ์และวัดสีหะลำดวน อ.ศีขรภูมิ จ.สุรินทร์เป็นหลักนะครับ และจะมีคนลงเขียนประชาสัมพันธ์ในหนังสือพิมพ์บางฉบับให้เรื่อยๆนะครับ ถ้ามีใครสนใจสามารถเช่าหาบูชาได้ในราคาวัดทุกเหรียญจนกว่าของจะหมดนะครับ ถ้าศูนย์จองก็ราคาศูนย์จองนะครับ ติดต่อผม ตั๋น 081-6597384 หรือ กอล์ฟ 082-375-8710 หรือศูนย์จองในประกาศครับ ท้ายสุดนี้ขอให้บารมีหลวงปู่สิงห์ ธมฺมสาโร ดลบันดาลให้ทุกท่านจงมีแต่ความสุขความเจริญนะครับ และขอให้ชาวนาขายข้าวได้กิโลละ 30 บาทนะครับ 555

โดยคุณ tatuntum (235)  [อา. 02 ส.ค. 2558 - 12:57 น.]



โดยคุณ tatuntum (235)  [อา. 02 ส.ค. 2558 - 12:58 น.] #3661810 (1/22)


(N)


รูปบน
ซ้ายผมเอง ตั๋น
กลางอดีต สส.เจียง
ขวา กอล์ฟหลานรักหลวงปู่

โดยคุณ tatuntum (235)  [อา. 02 ส.ค. 2558 - 13:00 น.] #3661811 (2/22)
ประวัติหลวงปู่ครับ

พระครูวิเชียรธรรมคุณ(วิเชียร ธมฺมสาโร)
หลวงปู่สิงห์
วัดโบสถ์ อำเภอศีขรภูมิ จังหวัดสุรินทร์
สังคมของเราในทุกวันนี้เต็มไปด้วยความสับสนวุ่นวาย ความเจริญที่พัฒนาขึ้นมาเรื่อย ๆ นั้น มาพร้อมกับความเสื่อมของจิตใจ ทำให้คนต่างพากันพูดว่าศีลธรรมเสื่อม ที่จริงแล้วเรื่องนี้ไม่ใช้ความเสื่อมของศีลธรรม แต่สาเหตุนั้นมาจากกิเลสตัวเดียวเท่านั้น
ความเจริญก้าวหน้าของเทคโนโลยี ยิ่งทำให้กิเลสนั้นแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว รวมถึงในวงการของศาสนา การประพฤติปฎิบัติของพระสงฆ์จำนวนไม่น้อยไม่เหมาะสมกับสมณาสารูป ทำให้พุทธศาสนิกชนต่างพากันเสื่อมศรัทธาไม่อยากทำบุญเหมือนแต่ก่อน
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าโลกจะเปลี่ยนแปลงไปเช่นไร พระอรหันต์และพระสงฆ์ที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบก็ยังมีให้เรากราบไหว้บูชาอยู่เสมอ ผู้เขียนจึงอยากแนะนำให้ท่านผู้อ่านได้พบกับ พระสุปฏิปันโนที่เป็นพระสงฆ์แท้ตามคำบอกกล่าวของหลวงปู่ดุลย์ อตุโล พระอรหันต์แห่งภาคอีสานใต้ ท่านคือพระครูวิเชียรธรรมคุณ หรือหลวงปู่สิงห์ พระผู้มีวัตรปฏิบัติและมีอภินิหารในบารมีธรรมของท่าน ที่เราสามารถกราบไหว้ได้อย่างสนิทใจ
ประวัติตอนเป็นฆราวาส

ท่านถือกำเนิดเมื่อวันเสาร์ขึ้น 5 ค่ำ เดือน 5 พ.ศ.2472 ตรงกับวันที่ 13 เมษายน 2472 เป็นบุตรของนายคำ บุญภา และนางปุย บุญภา มีพี่น้อง 6 คน คือ
1. นายเกิด บุญภา
2. นายแก้ว บุญภา
3. หลวงปู่สิงห์
4. นางอาด ทองดาษ
5. หลวงพ่อทัด ธมฺมสโร
6. นางวาด บุญภา ถึงแก่กรรมแล้ว
ขณะคลอดออกมา ตัวของท่านจะมีหนังบาง ๆ ห่อหุ้มตัวออกมาด้วย พ่อของท่านจึงนำหนังนั้นไปตากแดด และย่างเก็บไว้จนท่านถึงเวลาทานข้าวได้ จึงนำหนังนั้นให้ท่านกิน เนื่องจากวันเดือนปี ที่ท่านคลอดออกมา หมอดูทำนายว่าท่านเป็นเด็กไม่ดี ไม่เป็นมงคลจะต้องนำไปถวายพระ มิฉะนั้นจะทำให้พ่อแม่เดือดร้อน พออายุ 5 ขวบ พ่อของท่านจึงนำไปขายให้หลวงพ่อจูม แห่งวัดบ้านดงถาวร ผู้เขียนคิดว่าเรื่องการซื้อการขายลูกคงเป็นไปเพื่อการแก้เคล็ดเท่านั้น
หลังจากนั้น เด็กชายสิงห์ ก็ไป ๆ มา ๆ ระหว่างบ้านกับวัด เมื่ออยู่วัดก็ได้เรียนหนังสือกับพระ พออายุ 7 ขวบเริ่มเรียนวิชากับปู่แป้น ซึ่งเป็นปู่แท้ ๆ ของท่าน โดยเรียนอักขระ มูลกัจจายนะ และวิชาอาคมที่ใช้ในการดำรงชีพของส่วย ซึ่งเป็นวัฒนธรรมของชาวกุย
สำหรับหลวงพ่อจูมนั้น ท่านเป็นเกจิอาจารย์จอมขมังเวทย์ เก่งในเรื่องสักยันต์ ส่วนปู่แป้นเป็นฆราวาสจอมขมังเวทย์ เป็นครูธรรมที่ชาวบ้านเคารพนับถือและยกย่องในวิชาอาคม เมื่อเด็กชายสิงห์อายุ 11 ขวบ พ่อก็เสียชีวิต ต่อม่อีก 1 ปี ปู่แป้นก็เสียชีวิต จึงได้ศึกษาวิชาอาคมต่อกับหลวงพ่อจูมจวบจนอายุ 20 ปี ได้ลาหลวงพ่อจูมไปทำงานที่บางบ่อ จังหวัดสมุทรปราการ ประมาณ 2 ปีจึงกลับ พออายุได้ 23 ปีเต็ม หลวงพ่อจูมเห็นว่า นายสิงห์ โตเป็นหนุ่มถึงเวลาที่จะมีครอบครัวได้แล้ว จึงจัดการแต่งงานให้
เมื่อแต่งงานได้ 2 ปี ก็เกิดเหตุที่ท่านถูกกล่าวหาว่าขโมยควาย ท่านจึงต้องหนี หลวงพ่อจูมมอบเงินให้ท่านเดินทางออกจากหมู่บ้านไป ท่านจึงเดินทางกลับไปบางบ่ออีกครั้งหนึ่ง โดยไปทำงานกับคุณนายกิมหงส์ ซึ่งเป็นโยมอุปฐากของหลวงพ่อลี ธมฺมธโร เป็นผู้ถวายที่จำนวน 400 ไร่ ให้หลวงพ่อลีสร้างวัดอโศการาม คุณนายกิมหงส์จึงพาท่านไปช่วยงานอยู่กับหลวงพ่อลี
ระหว่างที่อยู่กับหลวงพ่อลี ท่านได้รับการสอนเรื่องการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน และหลวงพ่อลีทราบโดยฌาณของท่านถึงบุญบารมีที่สะสมมาแต่อดีตชาติและเห็นอนาคตของนายสิงห์ จึงขอให้ท่านบวชโดยบอกกับท่านว่า ถ้าบวชก่อน พ.ศ.2500 ท่านจะสำเร็จอรหันต์อย่างรวดเร็ว และแน่นอน แต่ถ้าท่านบวชหลัง พ.ศ.2500 ท่านจะริบหรี่ ๆ เหมือนแสงหิ่งห้อย นั่นคือจะใช้เวลานานกว่าจะสำเร็จ แต่ว่าท่านจะมีฤทธิ์มาก
ระหว่างที่ลังเลอยู่นั้น หลวงพ่อสมชาย ฐิตวิริโย ได้เดินทางมาจากวัดป่าคลองกุ้งเพื่อมาถามหลวงพ่อลีว่า จะสร้างวัดที่ไหนดี มีคนเขาบริจาคที่ให้ 2 ที่ หลวงพ่อลีจึงบอกให้สร้างที่เขาหัวอีกิม ( ภายหลังหลวงพ่อสมชายเปลี่ยนชื่อเป็นเขาสุกิม ) เมื่อหลวงพ่อสมชายเดินทางกลับได้ชวนนายสิงห์ไปวัดป่าคลองกุ้งกับท่านด้วย ท่านจึงตามหลวงพ่อสมชายไปรวมเวลาที่อยู่กับหลวงพ่อลี 2 ปี
เมื่อไปอยู่กับหลวงพ่อสมชายได้ 2 เดือน มีคนจากภาคใต้มาหาแรงงานเพื่อไปทำงานเหมืองแร่ที่จังหวัดพังงา ท่านเล็งเห็นว่าชีวิตยังไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันควรจะทำงานทำการจึงสมัครไปทำงานเหมืองแร่ที่จังหวัดพังงา
มาอยู่พังงาได้ 4 ปี ท่านจึงมีภรรยาอีกคนหนึ่งเป็นแม่หม้ายลูกติด แต่ท่านไม่ได้มีลูกกับภรรยาคนนี้ อยู่กินกันมาจนถึง พ.ศ.2512 ก็เกิดมีเหตุการณ์ที่เป็นมูลเหตุสำคัญทำให้ชีวิตของท่านต้องเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่
เข้าสู่ร่มกาสาวพัตร์
ในปี พ.ศ. 2512 ท่านมีอายุ 40 ปีเต็ม วันหนึ่งท่านออกไปหากบเพื่อมาทำอาหาร ท่านจับกบมาได้ 1 ตัว เป็นกบตัวใหญ่มาก เมื่อกลับมาถึงบ้านท่านจะผ่าท้องเพื่อทำอาหาร ปรากฎว่า กบร้องออกมาว่า " พุทโธ " ท่านได้ยินถึงกับสะดุ้ง และหวนคิดไปถึงคำสอนของหลวงพ่อลี ที่สอนให้ท่านฝึกฝนสมาธิโดยยึดคำว่า พุทโธ
ด้วยคำว่า พุทโธ ที่ท่านได้ยินจากกบตัวนั้น เป็นเสียงที่จุดประกายขึ้นในใจ และทำให้ท่านตกอยู่ในภวังค์แห่งสัจธรรมของชีวิต ท่านทบทวนเรื่องนี้โดยไม่ได้หลับไม่ได้นอนอยู่เป็นเวลา 3 วัน จนความคิดของท่านตกผลึกและตัดสินใจที่จะบวช จึงได้ปรึกษาภรรยาของท่านว่าจะบวชและอยากกลับไปบวชที่บ้านเกิด ภรรยาของท่านตามใจพร้อมทั้งจัดหาผ้าไตรจีวรและมอบเงินให้ท่านกลับไปยังจังหวัดสุรินทร์
ท่านเข้าอุปสมบทที่วัดบ้านตรึม ตำบลตรึม อำเภอศีขรภูมิ โดยมีหลวงพ่อลาเป็นพระอุปัชฌาย์ หลวงพ่อจูมเป็นพระกรรมวาจาจารย์ สังกัดมหานิกาย เพราะกบตัวนั้นนั่นเอง เป็นชนวนก่อให้เกิดพระอริยสงฆ์ให้เราได้กราบไหว้บูชาชื่นชมบารมีขึ้นมาอีกหนึ่งองค์ โดยความเห็นของผู้เขียนคิดว่า กบตัวนั้นไม่ใช่กบธรรมดาทั่วไปที่เกิดตามธรรมชาติ คงจะเป็นเทพเทวดาที่จำแลงแปลงกายลงมาเตือนสติหลวงปู่อย่างแน่นอน
เมื่ออุปสมบทเรียบร้อยแล้ว ท่านได้ไปจำพรรษาที่วัดบ้านดงถาวร วัดที่ท่านเคยอยู่อาศัยมาตั้งแต่เด็ก ๆ เมื่อท่านจำพรรษาได้ 1 ปี จึงออกเดินธุดงค์ไปทางใต้เพื่อไปศึกษาเรื่องวิชาสมุนไพรโดยมีวัตถุประสงค์ที่จะนำมารักษาน้องชายของท่าน ระหว่างทางเมื่อไปถึงตำบลละอุ่นใต้ จังหวัดระนอง ได้พบกับพระอาจารย์จำเนียร จึงพากันธุดงค์ต่อไปเรื่อย ๆ จนถึงจังหวัดพังงา ได้พบกับหลวงพ่อเฟื่องวัดบางเหรียญที่อำเภอทับปุด ซึ่งมีความเชี่ยวชาญในวิชาสมุนไพร ท่านจึงสมัครเป็นศิษย์ขอศึกษาด้วย
หลังจากอยู่กับหลวงพ่อเฟื่อง 1 พรรษา ท่านจึงธุดงค์ขึ้นไปปฏิบัติธรรมบนเขาทับปุด พอดีช่วงนั้นหลวงปู่ชา สุภทฺโท วัดหนองป่าพง จังหวัดอุบลราชธานีได้รับนิมนต์ไปที่จังหวัดพังงา วันหนึ่งหลังจากที่ท่านออกจากสมาธิจึงเห็นหลวงปู่ชามายืนอยู่ตรงหน้าท่าน หลวงปู่ชาบอกว่าระหว่างที่ผมนั่งภาวนาอยู่ ได้เห็นแสงสว่างของจิตส่องมาถึงผม ผมจึงมาตามหาท่าน
หลวงปู่ชา สอบถามหลวงปู่สิงห์ จนทราบว่าท่านเป็นคนจังหวัดสุรินทร์ หลวงปู่ชาจึงพูดว่า ท่านมาอยู่นี่ทำไมกลับไปเป็นอรหันต์ที่อีสานใต้บ้านเราเถิด ที่ภาคอีสานนั้นมีอรหันต์เยอะแยะ หลวงปู่สิงห์จึงติดตามหลวงปู่ชาไปจำพรรษาที่วัดหนองป่าพง แต่อยู่ได้เพียง 2 เดือน หลวงปู่สิงห์ก็กราบลาหลวงปู่ชา กลับมายังบ้านเกิดที่จังหวัดสุรินทร์ เนื่องจากพิจารณาเห็นว่าวิชากรรมฐานที่ได้เรียนนั้นไม่ถูกจริต
หลวงปู่สิงห์กลับมาจำพรรษาที่วัดบ้านดงถาวร ท่านอยู่จนถึงพรรษาที่ 5 ขณะนั้นที่วัดโพธิ์ศรีธาตุ ซึ่งเป็นวัดที่เดิมเคยมีเจดีย์อยู่แต่ได้ผุพังลงกลายเป็นเนินดิน เมื่อถากถางต้นไม้และวัชพืชออกจึงพบว่ามีฐานเจดีย์อยู่ พื้นที่เดิมเป็นของเอกชนคือลูกพี่ลูกน้องของปู่แป้นและได้ถวายให้เป็นธรณีสงฆ์ของวัดบ้านตะเคียนซึ่งอยู่ห่างออกไป 10 กิโลเมตร ทางวัดเห็นว่าพื้นที่กว้างขวางถึง 51 ไร่ จึงให้สร้างวัดขึ้น แต่ยังไม่มีสิ่งปลูกสร้างอะไรมาก ทางวัดบ้านตะเคียนส่งพระมาเป็นเจ้าอาวาส แต่อยู่ไม่ได้เพราะผีดุ ไม่มีพระองค์ไหนอยู่ได้ เป็นที่ร่ำลือไปทั่ว ชาวบ้านจึงไปนิมนต์หลวงปู่สิงห์ให้มาปราบผี เมื่อสำเร็จแล้วชาวบ้านจึงนิมนต์ให้ท่านอยู่ที่นี่เสียเลย ท่านจึงดำเนินการก่อสร้างศาสนสถานให้เป็นวัดอย่างสมบูรณ์
ในขณะนั้นท่านทราบว่าหลวงปู่สาม อกิญจโน วัดป่าไตรวิเวก ซึ่งเป็นศิษย์ของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต และเป็นศิษย์ของหลวงปู่ดุลย์ด้วย เป็นผู้ที่มีความรู้ความสามารถในด้านวิปัสนากรรมฐาน จึงได้ไปสมัครเป็นลูกศิษย์ขอเรียนกรรมฐานด้วย แต่หลวงปู่สามท่านบอกว่าท่านสอนไม่เก่ง สอนได้แค่คำเดียวว่า จิตหนึ่ง ซึ่งหลวงปู่ก็ยังไม่เข้าใจ หลวงปู่สามจึงพาหลวงปู่สิงห์ไปฝากเป็นศิษย์หลวงปู่ดุลย์ที่วัดบูรพาราม ในอำเภอเมืองจังหวัดสุรินทร์ หลวงปู่ดุลย์เห็นว่าพระองค์นี้มีวาสนา จึงรับไว้ หลวงปู่สิงห์ต้องขึ้นรถไฟจากวัดโพธิศรีธาตุเข้าไปเรียนกับหลวงปู่ดุลย์ทุกวันเสาร์ - อาทิตย์ นอกจากไปเรียนที่วัดบูรพารามแล้ว หลวงปู่สิงห์ยังไป ๆ มา ๆ ที่วัดป่าไตรวิเวก และได้รู้จักกับหลวงปู่คืน ซึ่งมาอยู่กับหลวงปู่สาม
หลวงปู่คืน เดิมเป็นศิษย์ฆราวาสของหลวงปู่เทศน์ เทศน์รังสี วัดหินหมากเป้ง จังหวัดหนองคาย ฝึกปฏิบัติวิปัสนากรรมฐานจนได้ธรรมขั้นสูง พิจารณาเห็นว่าเมื่อมาถึงระดับนี้จะต้องบวชเป็นพระแล้ว จึงเดินทางกลับมาบวชที่บ้านเกิดคือจังหวัดสุรินทร์และจำพรรษาอยู่กับหลวงปู่สาม ช่วงนั้นหลวงปู่คืนได้ออกไปสร้างวัดขึ้นใหม่ คือวัดบวรสังฆาราม หลวงปู่สิงห์เดินทางไปช่วยท่านอยู่เสมอ วัดที่สร้างอยู่ติดกับสะพานทางรถไฟ
วันหนึ่งหลวงปู่คืน นึกอยากทดลองอำนาจพลังจิตของหลวงปู่สิงห์ ว่ามีพลังแรงตามคำร่ำลือหรือไม่ จึงพูดขอทำนองท้าทายหลวงปู่สิงห์ว่า ไหนลองหยุดรถไฟให้ดูหน่อย ช่วงเวลานั้น หลวงปู่สิงห์ยังอยู่ในช่วงที่จิตใจห้าวหาญ จึงตอบสนองด้วยการออกมายืนมองรถไฟที่วิ่งผ่านมา ท่านเพ่งมองไม่ถึงอึดใจ รถไฟก็หยุดนิ่งท่ามกลางสายตาของหลวงพ่อคืนและลูกศิษย์รวมทั้งชาวบ้านที่มาช่วยงานก่อสร้างวัด กลุ่มลูกศิษย์จึงพูดกันต่อ ๆ ไป เมื่อหลวงปู่ดุลย์ท่านทราบเรื่อง จึงเรียกหลวงปู่สิงห์ไปตำหนิและห้ามไม่ให้มองเครื่องบิน เดี๊ยวคนจะตายกันเยอะ และไม่ให้จ้องมองตาคน เพราะคนที่มามีทั้งคิดดีและคิดไม่ดี ถ้าคิดไม่ดีจิตจะไปตอบโต้ทำให้คนนั้นเป็นอันตราย หลวงปู่สิงห์ท่านรับคำและปฎิบัติตามคำสั่งของหลวงปู่ดุลย์มาจนกระทั้งทุกวันนี้ ช่วงหลัง ๆ ท่านค่อยผ่อนคลายลง เนื่องจากลูกศิษย์ขอให้ท่านมองลูกศิษย์บ้างเวลาสนทนากับท่าน เพราะทุกคนเชื่อมั่นว่า ท่านละกิเลสหมดแล้ว
เมื่อเวลาผ่านไปจนถึงปี พ.ศ.2526 ท่านบวชมาจนครบพรรษาที่ 13 แล้ว หลวงปู่ดุลย์จึงถามท่านว่าจะญัตติไหม นั่นคือจะเปลี่ยนเป็นธรรมยุตินิกายหรือไม่ หลวงปู่สิงห์ท่านก็ตอบรับ แต่ขณะนั้นหลวงปู่ดุลย์ท่านอาพาธต้องเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลศิริราช ซึ่งท่านก็ยังเป็นห่วงเรื่องการย้ายนิกายของหลวงปู่สิงห์มาก เวลาพระผู้ใหญ่ในจังหวัดไปเยี่ยมหลวงปู่ดุลย์ที่โรงพยาบาล ท่านก็จะถามถึงพระมหานิกายองค์เล็ก ๆ ทุกครั้ง พระผู้ใหญ่ที่ไปเยี่ยมท่านต่างพากันถามว่า ทำไมหลวงปู่ถึงเป็นห่วงพระองค์นี้จัง หลวงปู่ดุลย์จึงตอบไปว่าก็มันเป็นพระแท้ พวกมึงเป็นหรือยัง
หลวงปู่ดุลย์ได้มอบผ้าไตรและบริขารให้กับหลวงปู่สิงห์พร้อมกับเงินค่าใช้จ่ายทั้งหมดผ่านไปทางพระผุ้ใหญ่ ให้ใช้ในการทำพิธีญัตติ นั่นคือหลวงปู่ดุลย์เป็นเจ้าภาพในพิธีครั้งนี้ ทางเจ้าคุณพระรัตนากรวิสุทธิ์ ( หลวงพ่อสถิตย์ ) เจ้าคณะอำเภอเมือง จึงดำเนินการให้จนเสร็จเรียบร้อย หลังจากเปลี่ยนนิกายแล้ว หลวงปู่สิงห์ได้เปลี่ยนชื่อใหม่เป็นวิเชียร แต่ชาวบ้านทั่งไปก็ยังนิยมชื่อท่านอยู่ จึงทำให้ท่านมีสองชื่อ ชื่อที่เป็นทางการคือวิเชียร ชื่อที่ชาวบ้านบ้านทั่วไปนิยมเรียกท่านคือ สิงห์
การญัตติหรือเปลี่ยนนิกายในครั้งนี้ ทำให้มีปัญหาเกิดขึ้นกับหลวงปู่สิงห์ โดยไม่ได้คิดล่วงหน้าไว้ก่อน นั่นคือ วัดโพธิ์ศรีธาตุ ที่ท่านจำพรรษาอยู่เป็นวัดที่อยู่ในความปกครองของมหานิกาย ทางกลุ่มคณะผู้ปกครองมหานิกายจึงไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง ได้ส่งเจ้าคณะตำบล และเจ้าคณะอำเภอพร้อมชาวบ้านจำนวนหนึ่งมาขับไล่ท่านถึงวัด หลวงปู่สิงห์ขอเวลาเก็บของ พวกที่มาไล่บอกว่าเดี๋ยวจะให้คนช่วยเก็บ และจะไปอยู่ที่ไหนจะให้คนไปส่ง เป็นการไล่กันแบบปัจจุบันทันด่วน เรื่องนี้ถ้าพิจารณากันโดยเหตุผลทั่วไปก็ไม่เห็นจะต้องรีบร้อนขนาดนี้ ควรให้เวลาเตรียมตัวและหาวัดใหม่เสียก่อน และเรื่องการเปลี่ยนนิกายก็ไม่จำเป็นต้องรังเกียจเดียดฉันท์อะไรกัน อย่างไรก็นับถือพระพุทธเจ้าองค์เดียวกัน
เมื่อออกจากวัดโพธิ์ศรีธาตุ หลวงปู่สิงห์ได้ไปจำวัดที่วัดไผ่ล้อม รุ่งขึ้นจึงเดินทางไปอยู่วัดบวรสังฆารามกับหลวงพ่อคืน แต่เรื่องนี้ยังไม่จบลงเพียงแค่นั้นเพราะมีเรื่องราวที่ทำให้ต้องเล่าขานกันต่อมาจนถึงทุกวันนี้ เรื่องของเรื่องก็คือ เจ้าคณะตำบลและเจ้าคณะอำเภอ เมื่อมาขับไล่หลวงปู่สิงห์แล้วกลับวัดคืนนั้นทั้งสององค์ก็หลับไม่ตื่นอีกเลย เหตุการณ์นี้สร้างความวิตกกังวลกับกลุ่มคนที่ร่วมขบวนไปขับไล่หลวงปู่อย่างมากทีเดียว ต่างพากันจะไปกราบขอขมา แต่ปรากฏว่าหลวงปู่เดินทางเข้าตัวจังหวัดไปแล้ว ความสำนึกที่รู้ว่าตัวเองทำไม่ถูกต้องประกอบกับความกลัวยังฝังใจกลุ่มคนเหล่านั้นมาจนถึงทุกวันนี้ ถ้ามีโอกาสก็จะกราบขอขมาท่านทุกครั้ง สำหรับหลวงปู่นั้นท่านบอกกับลูกศิษย์ว่าท่านไม่ได้ทำอะไร เพราะท่านไม่ได้โกรธเคือง อาจเป็นเพราะเจ้าที่เจ้าทางและเทพเทวดา ที่ดูแลพระธาตุในวัดเขาไม่พอใจ
ผู้เขียนคิดว่าคงเป็นอย่างที่ท่านบอก เพราะท่านเป็นพระแท้อย่างที่หลวงปู่ดุลย์กล่าวไว้ เราก็คงเข้าใจกันดีอยู่แล้วว่า พระสงฆ์แท้คือพระที่เป็นอริยสงฆ์แล้ว ขั้นต่ำก็คือพระโสดาบัน ส่วนที่ยังไม่ถึงขั้นนี้จะเรียกกันว่า สมมุติสงฆ์ พระที่ขึ้นถึงระดับนี้ท่านไม่ทำร้ายใคร เมื่อหลวงปู่ดุลย์ทราบเรื่อง ท่านจึงสั่งหลวงปู่สิงห์ให้ไปอยู่วัดไตรวิเวกกับหลวงปู่สาม หลังจากที่หลวงปู่สิงห์ญัตติได้สามเดือน หลวงปู่ดุลย์ท่านก็ละสังขาร เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2526 หลวงปู่ดุลย์ท่านเคยบอกลูกศิษย์ไว้ว่า ในหมู่พระสายกรรมฐานที่ท่านรู้จักและได้สัมผัสมานั้น มี 3 องค์ที่มีพลังจิตแรงมาก คือ 1. หลวงปู่ฝั้น อาจาโร 2. หลวงพ่อพุทธ ฐานิโย 3.หลวงปู่สิงห์ ธมฺมสาโร ทั้ง ๆ ที่ขณะนั้นหลวงปู่สิงห์ยังบวชได้ไม่นานนัก ถึงตอนที่เปลี่ยนนิกายก็เพิ่ง 13 - 14 พรรษา แต่พลังจิตของท่านก็แรงได้ขนาดที่หลวงปู่ดุลย์ยังยกย่อง
ขณะที่ท่านอยู่วัดป่าไตรวิเวก ผู้ใหญ่คง โต้เศรษฐี ผู้ซึ่งมีความเคารพนับถือหลวงปู่สิงห์มาก อยากให้ท่านกลับมาอยู่ใกล้ ๆ ที่เดิมคือที่ตำบลกุดหวาย อำเภอศีขรภูมิ ผู้ใหญ่คงจึงไปซื้อที่จากน้องสาวของหลวงปู่สิงห์ ที่ได้รับมรดกตกทอดมา เป็นที่ที่อยู่ห่างจากวัดโพธิ์ศรีธาตุประมาณสองกิโลเมตร จึงไปนิมนต์หลวงปู่สิงห์ให้กลับมาสร้างวัดที่นี่ หลวงปู่สิงห์รับนิมนต์และเริ่มสร้างวัดในปี 2527 จนถึงปี 2528 ท่านจึงออกจากวัดป่าไตรวิเวก กลับมาดำเนินการสร้างวัดต่อจนเสร็จในปี 2530 และได้รับวิสุงคามสีมาและอยุ่ในทำเนียบกรมการศาสนาในปีเดียวกันนั้น ตั้งแต่เริ่มสร้างได้ตั้งชื่อวัดว่า วัดป่าหนองคูโบสถ์ ( แสนสบาย ) แต่ทางกรมการศาสนาเห็นว่ายาวเกินไป จึงใช้แค่ชื่อว่า วัดโบสถ์ จากนั้น ท่านได้นิมนต์หลวงปู่สามให้ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดนี้อีกวัดหนึ่ง เพราะหลวงปู่สิงห์อายุพรรษายังไม่ถึงเนื่องจากการเปลี่ยนนิกายธรรมยุติ จะเริ่มนับอายุพรรษาใหม่ ถัดมาอีก 1 ปี คือ พ.ศ.2531 อายุพรรษาของหลวงปู่สิงห์สามารถเป็นเจ้าอาวาสได้แล้ว หลวงปู่สามจึงลาออกและมอบตำแหน่งให้หลวงปู่สิงห์เป็นเจ้าอาวาสจนถึง พ.ศ.2553 หลวงปู่สิงห์ท่านก็ลาออกและมอบตำแหน่งเจ้าอาวาสให้กับพระครูปิยะธรรมากร
ขอย้อนกลับมาเรื่องการปฏิบัติธรรมของหลวงปู่สิงห์ หลังจากได้ทำการญัตติแล้ว ระหว่างการจำวัดที่วัดป่าไตรวิเวก ท่านก็ปฏิบัติตามคำสอนของหลวงปู่ดุลย์ แต่ก็ยังไม่ถึงขั้นสุดท้าย จนกระทั่งได้พูดคุยกับหลวงพ่อคืนในเรื่องการเห็นจิต ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยคุยกัน ได้แต่ต่างคนต่างปฏิบัติกันไป หลวงพ่อคืนบอกกับท่านว่า ไม่ยากและได้สอนวิธีกำหนดจิตและภาวนาให้หลวงปู่สิงห์ฟัง หลวงปู่สิงห์บอกกับหลวงพ่อคืนว่า ถ้ารู้วิธีแบบนี้ก็คงจะทำได้ภายในคืนนี้ ดังนั้น ท่านจึงนั่งกำหนดจิตโดยมีหลวงปู่คืนนั่งอยู่ด้วยเป็นเวลาสองชั่วโมง หลวงปู่สิงห์ถึงได้เห็นจิต หลวงปู่คืนจึงถอยออกมาแล้วรีบออกไปรายงานกับหลวงปู่สามว่า ท่านสิงห์เห็นจิตแล้ว หลวงปู่สามจึงบอกว่าเราเป็นพระคงไปคุยหรือไปรับรองไม่ได้ ถ้าจะให้ลูกศิษย์ทั่วไปเขารู้ ต้องพาท่านสิงห์ไปพบอาจารย์รอด สุกแสงจันทร์ ถ้าอาจารย์รอดกราบก็แสดงว่าท่านสิงห์เห็นจิตแล้ว หลวงปู่คืนจึงพาหลวงปู่สิงห์ไปหาอาจารย์รอดภายหลังจากที่หลวงปู่สิงห์นั่งต่อจากวันที่เห็นจิตนั้นอีกสามวันสามคืน เมื่อไปถึงก็พบว่าอาจารย์รอดปูผ้ารอรับอยู่แล้วและก้มลงกราบเมื่อเห็นหลวงปู่สิงห์ท่ามกลางสายตาของพระลูกศิษย์ทั้งหลาย เหตุที่ต้องเป็นอาจารย์รอด สุกแสงจันทร์ เพราะเป็นที่รู้กันว่าอาจารย์รอดสำเร็จธรรมขั้นสูง พระองด์ไหนถ้ายังไม่เห็นจิตท่านจะไม่กราบ
ก่อนที่จะเข้าสู่เรื่องวัตถุมงคลของหลวงปู่สิงห์ ผู้เขียนขอเวลาสรุปเรื่องราวและข้อมูลต่าง ๆ ที่นำเสนอต่อท่านผุ้อ่าน เพื่อนำมาใช้ในการพิจารณาด้านต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง

ผู้เขียนเคยพูดอยู่เสมอว่า การที่จะศรัทธาอะไร ต้องศรัทธาด้วยปัญญา ซึ่งเรื่องนี้ถ้าเราใช้สติ ตัดความหลงออกไป เราก็จะสามารถแยกแยะได้ไม่ยากว่าจะศรัทธาอะไร ศรัทธาใคร เพราะฉะนั้นสิ่งที่พวกเราศรัทธากันอยู่เช่น วัตถุมงคล เรื่องของความศักดิ์สิทธิ์ เรื่องของพระสงฆ์ ก็ควรศรัทธาด้วยปัญญา และในสังคมพระเครื่องของเราก็ต้องพุ่งเป้าไปที่วัตถุมงคลซึ่งมีที่มาแตกต่างกัน ที่ผู้เขียนอยากจะกล่าวถึงก็คือวัตถุมงคลของเกจิอาจารย์ แน่นอนว่าถ้าเราต้องการใช้และเก็บวัตถุมงคลแบบนี้ก็ต้องพิจารณาไปถึงองค์อาจารย์ผู้ปลุกเสก
ตามความเห็นของผู้เขียนจะต้องเริ่มที่พระระดับอริยสงฆ์ขึ้นไป เพราะพระตั้งแต่ระดับนี้ปลุกเสกวัตถุมงคลแล้วจะไม่เสื่อม โดยเฉพาะพระทุกองค์ทั้งที่ผ่านและไม่ผ่านเรื่องวิชาอาคม หรือด้านอิทธิฤทธิ์ก็สามารถอธิษฐานจิตได้ทุกองค์ แต่จะมีอิทธิฤทธิ์ที่แตกต่างกันออกไปขึ้นอยู่กับจริตของแต่ละองค์และบุญบารมีที่มีมาแต่อดีตชาติ ดังนั้น เราจึงต้องพิจารณาองค์ประกอบอื่นประกอบด้วยนั่นคือ ท่านผ่านวิชาอาคมมาหรือเปล่า ผ่านทางด้านอิทธิฤทธิ์หรือเปล่า เพราะถ้าผ่านจะได้เปรียบกว่าองค์ที่ไม่ผ่าน แต่ก็ยังมีปัจจัยที่สำคัญอย่างยิ่งคือความกล้าแข็งของพลังจิต ไม่ว่าระดับใดถ้าพลังจิตกล้าแข็งหรือแรงย่อมมีอิทธิฤทธิ์มากกว่า
ปัญหาก็คือว่าแล้วเราจะรู้ได้อย่างไร เรื่องนี้จะว่ายากก็ยากแต่ก็คงจะไม่ยากจนเกินไปนัก สิ่งแรกเลยเมื่อเราไปหาเกจิอาจารย์องค์ใด ถ้าคุยโม้โอ้อวดว่าตัวเองเก่งอย่างนั้นอย่างนี้ก็ควรจะต้องระมัดระวังโดยเฉพาะอย่างยิ่งในปัจจุบันนี้จะมีพระที่เห็นแค่เพียงภายนอกแค่ห่มผ้าเหลืองแต่พฤติกรรมนั้นมีกิเลสมากกว่าฆราวาสเสียอีก พระเหล่านี้เมื่อเราได้สัมผัสก็พิจารณาได้ไม่ยากเมื่อพบเจอก็ควรถอยออกมา

โดยคุณ tatuntum (235)  [อา. 02 ส.ค. 2558 - 13:01 น.] #3661812 (3/22)
อ่านเพิ่มเติมที่ http://www.rachandam.com/chat/topic.asp?TOPIC_ID=756 ครับ

โดยคุณ tatuntum (235)  [อา. 02 ส.ค. 2558 - 13:02 น.] #3661813 (4/22)


(N)


ภาพพิธีพุทธาภิเษกครับ

โดยคุณ tatuntum (235)  [อา. 02 ส.ค. 2558 - 13:02 น.] #3661814 (5/22)


(N)


ชมไปเรื่อยๆนะครับ

โดยคุณ tatuntum (235)  [อา. 02 ส.ค. 2558 - 13:07 น.] #3661817 (6/22)


(N)


รูปบนกิ๊ฟหลานรักหลวงปู่ถามหลวงปู่ว่าสวยไหม หลวงปู่ตอบว่าสวย และพอบอกว่าสร้างให้หลวงปู่ ทำเพื่อหลวงปู่ จะนำเงินไปสร้างเจดีย์หลวงปู่ หลวงปู่ถึงกับปลาบปลื้มจนหลังน้ำตา จนหลวงตาสมานต้องเช็ดน้ำตาให้ ทางลูกศิษย์ลูกหาและทีมงานผู้สร่งรู้สึกตื้นตันใจมากครับ

โดยคุณ tatuntum (235)  [อา. 02 ส.ค. 2558 - 13:08 น.] #3661818 (7/22)


(N)


ชมไปเรื่อยๆนะครับ

โดยคุณ tatuntum (235)  [อา. 02 ส.ค. 2558 - 13:08 น.] #3661819 (8/22)


(N)


ชมไปเรื่อยๆนะครับ

โดยคุณ tatuntum (235)  [อา. 02 ส.ค. 2558 - 13:10 น.] #3661820 (9/22)


(N)


ชมไปเรื่อยๆนะครับ

ลูกศิษย์หลวงปู่ทั้งหมดสายธรรมยุต สวดปาฏิโมกข์ครับ

โดยคุณ tatuntum (235)  [อา. 02 ส.ค. 2558 - 13:12 น.] #3661822 (10/22)


(N)


ชมไปเรื่อยๆนะครับ

พระครูปิยธรรมกร (เจ้าอาวาสวัดโบสถ์และเจ้าคณะตำบลสังขะ) ครับ

โดยคุณ tatuntum (235)  [อา. 02 ส.ค. 2558 - 13:15 น.] #3661823 (11/22)


(N)


ภาพบน อดีต สส.คุณากร ปรีชาชนะชัย ผู้จัดสร้างครับ


สวดคาถาชัยมงคลต่อ ครับเน้นพิธีเรียบง่ายแต่เข้มขลังตามสายธรรมยุตครับ

โดยคุณ tatuntum (235)  [อา. 02 ส.ค. 2558 - 13:17 น.] #3661827 (12/22)


(N)


ชมไปเรื่อยๆนะครับ

โดยคุณ tatuntum (235)  [อา. 02 ส.ค. 2558 - 13:19 น.] #3661829 (13/22)


(N)


ชมไปเรื่อยๆนะครับ

รูปบน หลวงตาเสาร์

รูปล่างหลวงตาสมาน ครับ

โดยคุณ tatuntum (235)  [อา. 02 ส.ค. 2558 - 13:21 น.] #3661830 (14/22)


(N)


รูปบน หลางตาสาร

รูปล่าง หลวงพ่อ พรหมมา

โดยคุณ tatuntum (235)  [อา. 02 ส.ค. 2558 - 13:22 น.] #3661831 (15/22)


(N)


รูปล่าง ลูกสาวทั้ง 2 ของผมเอง

โดยคุณ tatuntum (235)  [อา. 02 ส.ค. 2558 - 13:23 น.] #3661832 (16/22)


(N)


ชมไปเรื่อยๆนะครับ

โดยคุณ tatuntum (235)  [อา. 02 ส.ค. 2558 - 13:23 น.] #3661833 (17/22)


(N)


เสร็จพิธีแล้ว แจกเหรียญครับ

โดยคุณ tatuntum (235)  [อา. 02 ส.ค. 2558 - 13:24 น.] #3661836 (18/22)


(N)


เหรียญแจกสวยมากครับ

โดยคุณ tatuntum (235)  [อา. 02 ส.ค. 2558 - 13:25 น.] #3661837 (19/22)


(N)


ภาพการทำลายบล็อกครับ

โดยคุณ tatuntum (235)  [อา. 02 ส.ค. 2558 - 13:35 น.] #3661838 (20/22)


(N)
ทำลายบล็อกเสร็จเรียบร้อยครับ

ขอบคุณทุกท่านที่รับชมนะครับ พระรุ่นนี้สร้างด้วยใจ โปร่งใส และถูกต้องตามขั้นตอนทุกๆอย่าง อยากให้ทุกๆคนได้ลองแขวนดูบ้างว่าหลวงปู่สิงห์ที่หลวงปู่ดุลย์ยกย่องว่ามีพลังจิตแรงกล้า 1 ใน 3 องค์เป็นอย่างไร และยังเป็นสายธรรมยุตที่ยังเคร่งในระเบียบอีก(ฉันวันละมื่อ ฉันข้าวในบาตร) ซึ่งนับวันจะหายากขึ้นเรื่อยๆครับ

โดยคุณ popsan (764)  [จ. 03 ส.ค. 2558 - 01:25 น.] #3662026 (21/22)

โดยคุณ paerabbit (277)(2)   [อา. 09 ส.ค. 2558 - 01:32 น.] #3664511 (22/22)

!!!! กรุณา Login ก่อนจึงจะเสนอความคิดเห็นได้ !!!


Copyright ©G-PRA.COM